วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
เซียนองค์ที่ 8
เซียนองค์ที่ 7
เซียนองค์ที่ 6
เซียนองค์ที่ 5
ในสมัยยุคแผ่นดินไซฮั่น มีชายขอทานคนหนึ่งชื่อ น่าไชหัว มีร่างสูงเพียงสี่ศอก ตามประวัติว่า เชียะคาไต้เซียนจุติลงมาเกิด เพื่อบำเพ็ญประโยชน์แก่มนุษย์ แต่ตามประวัติในตำนาน มิได้กล่าวไว้ว่า เป็นลูกเต้าเหล่ากอตระกูลใด เพราะเหตุที่น่าไชหัวได้ท่องเที่ยวขอทานเตร็ดเตร่มาหลายสิบหัวเมือง เครื่องแต่งกายที่สวมใส่เป็นเสื้อกางเกงสีน้ำเงิน แต่ก็เก่าขาดปะแทบไม่มีเนื้อดี สวมรองเท้าทำด้วยฟางหุ้มผ้าเพียงข้างเดียว เที่ยวร้องเพลงขอทานเขาเรื่อยมา ไม่ทำมาหากินอย่างอื่นใด เมื่อได้เงินทองพอสมควรแล้ว ก็เข้าร้านเหล้ากิน แล้วก็ขยับกรับในมือเสียงก้องกังวาล พลางขับเพลงประสานด้วยน้ำเสียงท่วงทำนองอันไพเราะ เพลงที่ร้องก็ล้วนแต่เป็นเพลงภาษิตแทรกธรรมะเตือนใจคน ทั้งเพราะทั้งน่าฟัง เป็นที่ชอบและเพลินใจแก่ผู้คนทั้งหลายทุกหัวเมืองที่ผ่านมา กรับที่ประจำตัวนั้นมีรูปลักษณะผิดกับกรับธรรมดา คือยาวถึงสี่คืบครึ่ง กว้างประมาณ หนึ่งฝ่ามือ หนาครึ่งองคุลี เนื้อกรับเป็นมันเงาวาววามคล้ายเนื้อหยก เวลาน่าไชหัวขยับกรับ เสียงดังกังวาลน่าฟังยิ่งนัก ถ้าวันใดขอทานได้เงินมามาก ก็แจกจ่ายให้แก่คนแก่คนเฒ่าที่ยากจนทั้งหญิงชาย บางคราวนึกขลังขึ้นมา พอได้เงินอีแปะมามาก น่าไชหัวก็เอาร้อยเชือกเป็นพวงยาวแล้ววิ่งลามไปตามถนนมิใยเชือกที่ร้อยพวงอีแปะจะขาดก็ไม่เอาใจใส่ คงวิ่งลากไปจนเงินหมดพวง พวกคนยากจนและเด็กตามถนนก็พากันวิ่งตามเก็บกันอย่างชุลมุนสนุกสนาน ความประพฤติของน่าไชหัวที่ไม่เหมือนใครมีอยู่อย่างหนึ่ง คือเวลาหน้าร้อนก็สวมใส่เนื้อหนา ทำเป็นเสื้อชั้นใน ถึงจะเป็นเวลาหน้าร้อนแดดจัดปานใด ก็ไม่ปรากฏว่ามีเหงื่อไหลอย่างคนธรรมดาสามัญ เวลาหน้าหนาวจัดหิมะลงท่วมเข่าก็ใส่เสื้อชั้นในบาง ๆ ตัวเดียว ทั้งตามหูตาปากจมูกก็ปรากกฏมีไอประดุจไอน้ำร้อนที่เดือดพลุ่งออกมา มาคราวหนึ่ง ขณะที่น่าไชหัวเสพสุราพอตึงหน้าครึกครื้น ก็ออกเดินรัวกรับร้องรำทำเพลง ผู้คนพากันตามมุงดูเต็มท้องถนนอยู่นั้น มีชายชราผู้หนึ่งพูดว่า น่าไชหัวผู้นี้เราเคยเห็นมา ตั้งแต่เราจำความได้ จนตัวเรามีอายุแก่ชราจนบัดนี้ ก็ไม่เห็นน่าไชหัวมีรูปร่างผิดไปกว่าแต่ก่อนเลย อย่างไรก็อย่างนั้น ดูเหมือนกับคนอายุสี่สิบปีเท่านั้น เสื้อกางเกงที่สวมใส่ ทั้งเกือกฟางที่หุ้มผ้า ก็สำรับเก่านั้นเอง ช่างน่าประหลาดอัศจรรย์เสียเหลือเกินคนทั้งหลายได้ฟังต่างก็เห็นด้วยดังที่ชายชราพูดนั้น ต่างก็มองแลดูน่าไชหัวด้วยความอัศจรรย์ใจและเคารพ จำเนียรกาลนานมาคราวหนึ่ง น่าไชหัวได้เที่ยวไปตามแนวป่าตำบลหนึ่ง ได้พบกับทิก๋วยลี้ในระหว่างทางต่าง ก็กระทำคำนับสนทนาปราศัยเป็นที่ถูกอัธยาศัยซึ่งกันและกันแล้ว ต่างก็ลาจากกันไป ในตำนานมิได้กล่าวไว้ว่าทั้งสองได้สนทนาเรื่องอะไรกันบ้าง มาวันหนึ่ง เป็นเพลาตกเย็น อากาศแจ่มใน น่าไชหัวกำลังนั่งเสพสุราอยู่ในร้านขายสุราบนสะพานคูเมือง พอได้ยินเสียงมโหรีดังไพเราะมาจากอากาศเบื้องบน บรรดาฝูงคนชาวเมืองตลอดจนเจ้าของร้านสุราต่างก็พากันออกไปแหงนดู เมื่อน่าไชหัวเห็นผู้คนกำลังเพลิน มิได้เอาใจใส่แก่ตัวเช่นนั้นเห็นเป็นโอกาสอันดี ก็เดินออกจากร้านสุราโยนกรับขึ้นไป กรับก็กลายเป็นนกกะเรียนใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้า น่าไชหัวก็ขึ้นขี่หลังนกกะเรียน บินเข้ากลีบเมฆหายไป เสียงมโหรีก็พลอยหายไปด้วยเจ้าของร้านสุราและเหล่าประชาชนเห็นดังนั้น ต่างก็พากันเข้าไปดูในร้าน เห็นแต่เสื้อกางเกงสีเขียวและรองเท้าฟางกองอยู่ แต่พอเข้าไปใกล้ของเหล่านั้นก็กลายเป็นหยกแล้วอันตรธานหายไป คนทั้งหลายจึงรู้ว่าน่าไชหัวได้สำเร็จเป็นเซียนไปแล้ว จึงพากันคำนับกระทำความเคารพ น่าไชหัวได้ไปกับทิก๋วยลี้เป็นเซียนในลำดับที่ห้าในคณะโป๊ยเซียน
เซียนองค์ที่ 4
เซียนองค์ที่ 3
เซียนองค์ที่ 2
เซียนองค์ที่ 1
ทิก๋วยลี้ อดีเต กาเล กิร ดังได้ยินมาแต่ครั้งอดีตกาลนานไกล ณ ผืนแผ่นดินจีน มีชายหนุ่มคนหนึ่งรูปงาม มีความรู้สติปัญญาฉลาดว่องไว มีชื่อว่าลิเหียน เป็นคนเจ้าสำราญอิสระ มิคิดอ่านที่จะประกอบอาชีพมีครอบครัวแต่อย่างใด นิสัยของเพื่อนนั้นรักความสงบวิเวก มีน้ำใจฝักใฝ่ในการถือศีลกินเจประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญเพียรสมาธิภาวนาเป็นนิจ ครั้งเนียรกาลนานมามีความเบื่อหน่ายต่อสภาพความเป็นอยู่ของชีวิตมนุษย์ เกิดปัญญาพิจารณาหยั่งลงไปเห็นถ่องแท้ว่า สัตว์มนุษย์เรานี้เมื่อเกิดมาเป็นกายแล้ว ก็ต้องประสบกับความตายสิ้น ไม่มีผู้ใดใครผู้หนึ่งจะอยู่ยั่งยืนค้ำฟ้าไปได้ ประการหนึ่งตัณหาความทะยานอยากนั้นเล่า ก็เปรียบประดุจอาวุธอันคมกล้า ที่คอยบั่นรอนความสงบสันติสุข อีกทั้งอำนาจยศ ทรัพย์สมบัติทั้งปวง ตลอดจนความสรรเสริญเยินยอนั้นเล่า เมื่อพิจารณาดูให้ลึกซึ้งแล้วก็เปรียบประดุจยาพิษอันร้ายกาจ ที่ห่อหุ้มเคลือบไว้ด้วยรสอันหอมหวาน สัตว์ทั้งหลายที่เข้าไปติดลุ่มหลงก็พากันถึงแก่ความพินาศสิ้น แม้ว่าจะมีวาสนาบารมี เป็นถึงจอมจักพรรดิ์ทรงเดชอำนาจครองทวีป ทั้ง 4 มันก็ดูประดุจภาพลวงตา เฉกเสมือนกลุ่มก้อนเมฆที่ลอยอยู่นอกดวงจันทร์ฉะนั้น เมื่อเพ่งจิตพิจารณาทบทวนดูสภาพการณ์แห่งชีวิตดั่งนี้แล้ว อนิจจาแท้จริงมันก็เป็นมายาแห่งเปลวพยับแดดอันร้อนแรงกลางทะเลทราย เหตุใดมนุษย์ทั้งหลายจึงมองไม่เห็นเล่า ปล่อยจิตใจสภาพความเป็นอยู่ของตนให้ไหลตกไปตามกระแสอารมณ์ ยอมตนให้อำนาจฝ่ายต่ำแห่งโลกียธรรม ผูกมัดชักพาไปดุจนักโทษฉกรรจ์ ฉะนั้น ไม่น่าเลย เมื่อลิเหียนได้สติพิจารณาเห็นสัจธรรมเช่นนั้น ก็พลันตัดสินใจ สละเครื่องผูกพันทั้งมวลอำลาญาติสนิทมิตรสหาย ออกสู่วิเวกจาริกท่องเที่ยวไปตามป่าเขา แสวงหาท้องเถื่อนถ้ำเป็นที่พำนักอาศัย เป็นทำเลใกล้กับศาลาโรงเจแห่งหนึ่ง ประกอบปฏิบัติบำเพ็ญเพียรสมาธิภาวนาด้วยความแน่วแน่อยู่เป็นเวลาหลายปี ก็ยังไม่บรรลุผลอย่างไร จึงมาหวนคิดว่า เหตุที่การบำเพ็ญเพียรไม่สำเร็จผล ก็คงเป็นเพราะขาดท่านผู้เป็นอาจารย์ที่จะอบรมแนะนำสั่งสอน เมื่อคิดดังนั้นแล้วก็ออกเดินทางมุ่งตรงไปยังเขาเล่งห่วยหวย อันเป็นสำนักของท่านพรหมฤาษีลีเล่ากุน อันเป็นหนทางทุรกันดารยิ่งได้บุกฝ่ารกข้ามเขาข้ามห้วยลูกแล้วลูกเล่า ด้วยความเหน็ดเหนื่อยยากลำบากเป็นเวลาแรมเดือน จึงบรรลุถึงที่หมาย มองแลขึ้นไปเห็นยอดเขาสูงเทียมเมฆทอดเทือกยาวสุดที่จะประมาณได้ แลดูหนาทึบแน่นขนัดไปด้วยป่าสน แต่ละต้นสูงลิ่วและลำต้นใหญ่มหึมา คะเนอายุเป็นร้อย ๆ พัน ๆ ปี เวลาอาทิตย์อัสดง หมู่เมฆที่ลอยเลื่อนละไปตามไหล่เขาและยอดเขา ก็เปลี่ยนแปรสลับสีเลื่อมพรายน่าดูยิ่งนักทั้งเสียงนกสกุณชาติใหญ่น้อยที่โผผินบินเกาะไปมา ก็ส่งเสียงร้องประสานขานขันอย่างไพเราะวังเวงรื่นรมย์ใจ ลิเหียนหยุดพัก นั่งชมนกและหมู่ไม้อยู่อย่างเพลิดเพลินจนมืดค่ำ จึงได้เดินตรงไปยังประตูถ้ำ ยกมือขึ้นหมายจะเคาะเรียก แต่มาฉุกคิดได้ว่าขณะนี้เป็นเวลาค่ำมืดแล้ว ใช่กาลใช่เวลาที่จะเข้าไปรบกวนทำความรำคาญ อันเป็นการทำลายความสงบของท่านผู้วิเศษและเป็นการแสดงความไม่คารวะ จำเราจะนอนค้างแรมคืนตามพุ่มไม้แถวนี้ก่อนต่อพรุ่งนี้จึงค่อยเข้าไปคำนับกราบเรียนขอเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมต่อท่าน คิดดังนี้แล้วลิเหียนก็เข้าอาศัยโคนไม้ใหญ่ใกล้ประตูถ้ำนั้นเป็นที่พักนอนแรมคืน เวลาเช้ารุ่งขึ้น ลีเล่ากุนและอวนคูเซียนนั่งสนทนากันอยู่ภายในถ้ำ พอมีลมพัดพาเอากลิ่นดอกไม้หอมระรื่นเข้ามาภายในเป็นที่ผิดสังเกตกว่าทุกวัน ลีเล่ากุนจึงบอกกับอวนคูเซียนว่า ที่ลมพัดมากลิ่นดอกไม้หอมประหลาดเข้ามาเช่นนี้ ท่านพอจะทราบเหตุหรือไม่ อวนคูเซียนจึงตอบว่า กลิ่นหอมประหลาดอย่างนี้แสดงว่า จะมีผู้วิเศษมาหาถึงสำนักแห่งเรา ลีเล่ากุนจึงว่า ข้าพเจ้าได้ตรวจดูบัญชีเซียนทั้งปวงแล้ว เห็นว่าลิเหียนซึ่งจะได้ชื่อว่าทิก๋วยลี้ไปภายหน้า เห็นจะได้สำเร็จเป็นเซียนในไม่ช้าและบัดนี้ก็ได้มานอนอยู่ใกล้ประตูสำนักแห่งเราแล้ว อวนคูเซียนได้ฟังดังนั้น จึงสั่งให้เต้าหยินน้อยผู้เป็นศิษย์สองคนออกไปดู พอเต้าหยินน้อยออกมาถึงหน้าถ้ำ ก็พอดีเห็นนักพรตผู้หนึ่งรูปร่างสง่างามผิวพรรณผ่องใส เดินออกมาจากพุ่มไม้ใหญ่ตรงข้ามกับประตูถ้ำ จึงตรงเข้าคำนับถามว่า ท่านผู้นี้แซ่ลิใช่หรือไม่ ลิเหียนได้ฟังดังนั้นก็ฉงนจึงถามว่า เหตุใดท่านทั้งสองจึงรู้จักเรา เต้าหยินน้อยทั้งสองก็ตอบว่า ท่านลีเล่ากุนอาจารย์ของข้าพเจ้าบอกแก่อวนคูเซียนว่า ท่านแซ่ลิจะมาถึงยังสำนักในวันนี้ จึงได้ให้ข้าพเจ้าทั้งสองออกมาคอยรับ ลิเหียนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี รำพึงว่าอันตัวเรากับอาจารย์ลีเล่ากุน แต่ชาติก่อนคงจะได้เคยอุปถัมภ์กันมาท่านจึงล่วงรู้ถึงการมาของเราดั่งนี้ การที่เราอุตส่าห์พยายามมุ่งหน้ามาครั้งนี้ คงจะเป็นผลสมความประสงค์เป็นแน่ คิดแล้วก็ตามเต้าหยินน้อยเข้าไปภายในถ้ำ เห็นท่านลีเล่ากุนพรหมฤาษี นั่งอยู่บนอาสนะ มีฉวีวรรณสดชื่นผ่องใสปรากฏเบ็ญจรังสีอยู่รอบกาย ถัดมาเบื้องขวาเห็นเซียนผู้ใหญ่ผู้หนึ่ง ท่าทางสง่างามผึ่งผาย ผมขาวตายาว คิ้วยาว ดั่งวาด นั่งอยู่ด้วย ลิเหียนก็ตรงเข้าไปประสานมือกระทำความเคารพด้วยความปลื้มปิติ ท่านผู้สำเร็จทั้งสองก็กระทำคำนับตอบ แล้วลีเล่ากุนก็บอกให้ลิเหียนนั่งในที่อันได้จัดไว้ แต่ลิเหียนไม่ยอมนั่ง กระทำคำนับอีกครั้งหนึ่งแล้วว่า อันตัวข้าพเจ้านี้ต่ำศักดิ์ ทั้งสติปัญญาก็น้อยเป็นผู้โง่เขลา ได้เพียรพยายามประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญภาวนาโดยลำพังตน ปราศจากครูอาจารย์เป็นผู้ให้โอวาทฝึกสอนอบรม จึงมิได้รับผลจากการบำเพ็ญเพียรนั้น ข้าพเจ้าจึงได้บุกฝ่าดงมาด้วยความอุตสาหะพยายาม มิเห็นแก่ชีวิต เพื่อมุ่งมาขอกราบฝ่าเท้าท่านอาจารย์มอบตัวเป็นศิษย์ ขอท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตาอนุเคราะห์ช่วยอบรมสั่งสอนข้าพเจ้า ให้บรรลุผลที่ได้ตั้งใจมานั้นด้วยเถิด จะเป็นพระคุณแก่ข้าพเจ้าผู้เป็นศิษย์อย่างหาที่สุดมิได้ บัดนี้ ข้าพเจ้าผู้เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ เพียงแต่ยืนคอยรับโอวาท ก็นับว่าเป็นความเมตตาของท่านอาจารย์อยู่แล้ว ไม่สมควรจะนั่งเป็นการตีตนเสมอเช่นนั้นลีเล่ากุนได้ฟังดังนั้นจึงว่า เรากับเจ้าได้พบกัน ณ วันนี้ ก็เพราะแต่ชาติปางก่อนได้เคยอุปถัมภ์ช่วยเหลือกันมา เพราะฉะนั้น ผลแห่งการช่วยเหลือกันนั้นก็เป็นอันสำเร็จลงด้วยกันทั้งสองฝ่าย มาคราวนี้เราจะได้ช่วยกันอีก ฉะนั้นขอให้เจ้าจงรับโอวาทข้อปฏิบัตินี้ไปบัดนี้ คือ จงพยายามสงบอารมณ์ทั้งมวล ที่บังคับขึ้นทั้งภายนอกภายในร่างกาย จึงจะสงบ เมื่ออารมณ์และร่างกายสงบแล้วกามราคะทั้งหลายก็ไม่เกิด เมื่อกามราคะสิ้นไป กิเลสทั้งปวงก็ปราศไป เมื่อกิเลสปราศหมดสิ้นไปแล้ว จิตก็จะผ่องใสขาวบริสุทธิ์ยิ่งกว่าความขาวผ่องของสำลี เมื่อปฏิบัติได้เช่นนี้ ก็จะถึงซึ่งความเกษมสุขเป็นอมตะ เมื่อลิเหียนได้รับโอวาทอันเป็นเบื้องต้นเช่นนั้น ก็บังเกิดปิติซาบซึ้ง มีความเข้าใจถ่องแท้ในวัตรปฏิบัติของเซียนทุกประการ จึงทรุดตัวลงกราบที่พื้นแล้วพูดว่าโอวาทของท่านอาจารย์ที่ให้แก่ข้าพเจ้านี้ เป็นหลักใหญ่แห่งการบำเพ็ญเพียรอย่างแท้จริง ซึ่งข้าพเจ้ามิเคยได้ยินมาก่อนเลย พูดแล้วลิเหียนก็หันไปคำนับอวนคูเซียน ครั้งหนึ่งอวนคูเซียนจึงว่า ชื่อของท่านได้ปรากฏมีในบัญชีเซียนแล้ว ต่อไปนี้อย่าเที่ยวซอกซอนไปอื่นเลย จงหมั่นปฏิบัติตามโอวาทคำสอนของท่านอาจารย์ลีเล่ากุนเถิด ในไม่ช้าจะได้บรรลุผลสำเร็จแห่งเซียนภาวะเป็นแน่ อวนคูเซียนกล่าวตักเตือนดังนั้นแล้ว ก็สั่งให้เต้าหยินผู้น้อยผู้เป็นศิษย์ไปส่งลิเหียน ลิเหียนคุกเข่าลงกราบเคารพท่านลีเล่ากุนสามครั้ง ในฐานะศิษย์กราบอาจารย์ แล้วคำนับลาอวนคูเซียน เดินตามเต้าหยินน้อยออกจากถ้ำ กลับคืนสู่สำนักเดิม เมื่อลิเหียนกลับมาถึงสำนักแล้ว ก็ตั้งความบำเพ็ญเพียรตามโอวาทของท่านลีเล่ากุนด้วยความเด็ดเดี่ยวมั่นคงเจริญภาวนาสำรวมจิตมั่นไม่วอกแวกหวั่นไหว จนอาการทั้งสามสิบสองระงับแน่วแน่ จนในที่สุดก็สามารถถอดวิญญาณออกจากร่างเที่ยวไป ณ ที่ต่าง ๆ ได้ตามความต้องการขณะที่ลิเหียนถอดวิญญาณออกเที่ยวไป ณ ที่ต่าง ๆ นั้น ได้มีผู้ที่รู้จักพบปะทักทายกับลิเหียนแทบทุกแห่ง จนต่อมาคนทั้งหลายรู้ว่าลิเหียนสำเร็จฌานสมาบัติ ต่างก็มีความนิยมนับถือยอมตนเป็นศิษย์ เข้าฝึกปฏิบัติอยู่ด้วยเป็นอันมาก วันหนึ่งลิเหียนกำลังอบรมสั่งสอนบรรดาศิษย์ ก็ได้เห็นเบ็ญจรังสีส่องลอดเข้ามาตามช่องหน้าต่างจึงได้สงบจิตพิจารณา ก็แจ้งว่าท่านลีเล่ากุนผู้เป็นอาจารย์กับอวนคูเซียนกำลังเหาะมาถึงสำนักอยู่แล้ว จึงรีบปีนขึ้นสู่ยอดเขาหลังสำนัก เงยหน้าขึ้นมองไปโดยรอบ ก็ไม่เห็นมีอะไรสดุดตา นอกจากก้อนเมฆน้อยใหญ่ที่ลอยเกลื่อนท้องฟ้า ครั้นแล้วก็ก้มลงมองไปเบื้องล่าง เห็นวิหกขนงามตัวหนึ่ง เกาะชะง่อนหิน ยืนสบัดขนส่งเสียงร้องร่าเริงอยู่ ก็ถอนใจยาวรำพึงว่า นกตัวนี้เต็มไปด้วยความสุข ปราศจากสิ่งที่จะต้องห่วงใยใด ๆ มีแต่ปีกและหางพาตัวบินไปเท่านั้น เป็นอิสระแก่ตัวเอง แต่อนิจจาส่วนมนุษย์นี่เล่าพาตนให้ตกเป็นทาสของความมัวเมาอยู่ด้วยรูป รส กลิ่น เสียง คำเยินยอ และอำนาจอันจอมปลอม จนแม้แต่ความตายจะมาถึงก็ไม่รู้สึกตัว ดู ๆ แล้วก็ดูจะมีสภาพความเป็นอยู่ของชีวิตต่ำช้ากว่าวิหกนกน้อยตัวนี้เสียอีก ขณะที่ยืนรำพึงเพลินอยู่นั้น เบ็ญจรังสีก็สาดลงมาต้องลิเหียน ลิเหียนตกใจแหงนหน้าขึ้นดู เห็นเซียนผู้สำเร็จสองคน นั่งหลังนกกะเรียนลอยล่องมา จนเข้ามาใกล้ จึงจำได้ว่าท่านอาจารย์ลีเล่ากุนและอวนคูเซียนมาหาตน ก็มีความยินดียิ่งนัก จึงคุกเข่าลงกราบสามครั้ง ท่านลีเล่ากุนเห็นแล้ว ก็หัวเราะด้วยความพอใจแล้วพูดว่า เราแจ้งในความรำพึงคิดของเจ้าโดยตลอดแล้ว เรามีความพอใจในการปฏิบัติอันเป็นไปโดยถูกต้อง ตามโอวาทที่ให้ไว้แก่เจ้ายิ่งนัก แล้วทั้งสามศิษย์อาจารย์ก็พากันไปยังสำนักของลิเหียน ลิเหียนจัดอาสนะที่นั่งให้แก่ท่านอาจารย์และอวนคูเซียนแล้วก็คุกเข่าลงกราบท่านลีเล่ากุน ขอโอวาทที่จะพึงปฏิบัติเพิ่มเติมต่อไปอีก ท่านลีเล่ากุนจึงว่า ข้อวัตรปฏิบัติในการบำเพ็ญเพียรต่อไปนั้นยิ่งละเอียดสุขุมขึ้นไปตามลำดับ เจ้าจงค่อยอบรมจิตดับอารมณ์ และระงับเรื่องพัวพันต่าง ๆ เสียให้สิ้นเชิง จนตราบกระทั่งจิตตั้งอยู่ในความเป็นแน่เกิดขึ้น และตั้งมั่นสม่ำเสมอไม่ผันแปรต่อไปอีก นั่นและเจ้าจะได้รับผลเข้าสู่ภูมิแห่งฌานอภิญญา ขอเจ้าจงบำเพ็ญเพียรปฏิบัติให้เคร่งครัด ส่วนสำหรับที่เรามาในวันนี้ด้วยจะบอกแก่เจ้าว่า ต่อแต่นี้ไปอีก 10 วัน เจ้าจงถอดวิญญาณไปด้วยกับเรา ว่าแล้วลีเล่ากุนและอวนคูเซียนก็ลากลับไป ฝ่ายลิเหียนครั้นส่งอาจารย์กลับไปแล้ว ก็เข้าปฏิบัติบำเพ็ญเจริญสมาธิภาวนาด้วยความขมักเขม้น จนวันคืนล่วงผ่านไปจนครบกำหนด 10 วัน ตามที่ท่านลีเล่ากุนผู้อาจารย์ได้สั่งไว้ จึงเรียกเอี้ยจื๊อผู้ศิษย์มาสั่งว่า วันนี้เราจะถอดวิญญาณไปหาท่านลีเล่ากุนผู้เป็นอาจารย์ของเราตามที่ท่านได้สั่งไว้ เราขอมอบให้เจ้าเป็นผู้รักษาร่างของเราที่ทิ้งไว้นี้เป็นกำหนดเวลา 7 วัน ในวันที่ 7 เราจะกลับมาเข้าร่างตามเดิม แต่ถ้าเมื่อครบกำหนด 7 วันแล้ว เรายังไม่กลับมาเข้าร่าง เจ้าจงเอาไฟเผาเสียเถิด เพื่อมิให้ผู้ใดรู้เป็นที่ยุ่งยากต่อไปแต่สำหรับในระหว่าง 7 วันนี้ เจ้าจงระวังรักษาให้ดีอย่างให้เป็นอันตรายได้ เมื่อได้สั่งศิษย์เป็นที่วางใจแล้ว ลิเหียนก็เข้าฌานออกจากร่างตรงไปยังเขาเล่งห่วยหวย อันเป็นสำนักของลีเล่ากุนและอวนคูเซียนโดยเร็ว ฝ่ายเอี้ยจื๊อผู้เป็นศิษย์ ตั้งแต่ลิเหียนผู้อาจารย์ได้ถอดวิญญาณไปแล้ว ก็ได้เอาใจใส่ดูแลรักษาร่างของอาจารย์ด้วยความเรียบร้อยตลอดมาจนถึงวันคำรบ 6 พอดี วันนั้นคนใช้ทางบ้านมาแจ้งกับเอี้ยจื๊อว่า มารดาท่านกำลังป่วยหนัก ให้รีบกลับไปโดยเร็ว ถ้าอยู่ช้าแล้วไม่ได้เห็นใจเอี้ยจื๊อได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้พูดว่า อาจารย์ได้สั่งให้เราระวังรักษาร่างของท่านมีกำหนด 7 วัน ในวันที่ครบ 7 วัน วิญญาณของท่านจะกลับมาเข้าร่าง และวันนี้ก็เป็นวันที่ 6แล้ว ถ้าเราไปรักษาแม่ ใครจะเป็นผู้ดูแลรักษาร่างของอาจารย์แทนเรา คนใช้จึงว่าท่านพูดอะไร ก็อาจารย์ของท่านตายไปแล้วตั้ง 6 วัน จะฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร ตับไตไส้พุงป่านนี้คงเน่าเปื่อยหมดแล้ว ท่านยังจะคิดคอยว่าจะกลับฟื้นมาอีกเช่นนี้ ดูจะมิะป็นคนโง่เง่าไปหรือ และประการหนึ่งขอให้ท่านพิจารณาดู อันอาจารย์นั้นได้อุปถัมภ์สั่งสอนศิษย์ เมื่อมีอายุเติบใหญ่แล้วเท่านั้น ส่วนมารดานั้นได้กล่อมเกลี้ยงอุปถัมภ์ค้ำชูมาแต่อ้อนแต่ออก ฉะนั้น การที่ท่านจะเอาบุญคุณของอาจารย์มาเทียบกับคุณของมารดานั้นไม่ควร และถ้าอาจารย์ท่านจะฟื้นคืนร่างป่านนี้ก็คงฟื้นมาแล้วแต่นี่ข้าพเจ้ามาพิจารณาเห็นว่าท่านคงสำเร็จเป็นเซียนไปแล้ว คงจะไม่กลับคืนมาอีกเป็นแน่ และอีกประการหนึ่ง ถ้าจะทอดทิ้งร่างท่านไปเสีย ก็ไม่ถึงกับจำทำให้เสียหายมากมายอะไร เพียงแต่ไม่รักษาสัญญาเท่านั้น โทษมิมากมายอะไร แต่ถ้าหากท่านไม่ไปรักษาดูแลมารดาของท่านที่กำลังป่วยหนักนี้สิ ถ้าบังเอิญมารดาของท่านตายลง ไหนท่านจะพ้นจากคำของคนที่ครหาว่าท่านอกตัญญู ข้าพเจ้ามีความเห็นอย่างนี้ ขอท่านจงพิจารณาเอาเองเถิด เอี้ยจื๊อได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงตัดใจทิ้งร่างอาจารย์ ช่วยกันกับคนใช้ จัดหาฟืนมากองสุมได้มากพอแล้วก็หามร่างอาจารย์ขึ้นวางบนกองฟืน จัดเครื่องเจทำการเส้นสรวงบูชาแล้ว ก็ร้องไห้คุกเข่าลง กราบขอขมาบอกเล่าถึงความจำเป็น ที่ต้องกระทำดังนี้เหมือนมิรู้คุณแห่งอาจารย์ แล้วจุดไฟเผาจนร่างไหม้เป็นเถ้าถ่านหมดแล้ว ก็รวบรวมเก็บเข้าของรีบออกเดินทางไปพร้อมกับคนใช้ แต่พอถึงบ้าน ก็ปรากฏว่ามารดาได้ถึงแก่กรรมเสียก่อนแล้ว ฝ่ายท่านลีเล่ากุนและอวนคูเซียน ได้นำวิญญาณของลิเหียนท่องเที่ยวไปตามดินแดนแถบตะวันตก ได้เข้าไปตามสำนักเซียนที่ทรงวิชาการ ซึ่งตั้งอยู่ตามถ้ำในขุนเขาน้อยใหญ่ รวมทั้งสิ้น 36 สำนัก ได้ให้ลิเหียนรับคำแนะนำและเล่าเรียนข้อปฏิบัติและเวทมนต์ต่าง ๆ ทุกสำนัก ในที่สุดลิเหียนระลึกวิตกถึงร่างของตน ที่ถอดทิ้งไว้ให้ศิษย์เฝ้าในโรงเจ เกรงศิษย์จะเป็นห่วงจึงบอกลาต่อท่านลีเล่ากุน ท่านลีเล่ากุนหัวเราะแล้วกล่าวโศลกเป็นปริศนาว่า