เซียนองค์ที่ 7 ฮั้นเซียงจื๊อ
ในสมัยแผ่นดินพระเจ้าถังเต๊กจงฮ่องเต้ ประมาณ พ.ศ. ๑๓๒๓ ถึง พ.ศ. ๑๓๔๕ มีชายหนุ่มคนหนึ่งแซ่ฮั้น ชื่อเซียงจื๊อ เป็นหลานของฮั้นหยู เสนาบดีกระทรวงวัง ฮั้นเซียงจื๊อนั้นมีนิสัยใจคอเยือกเย็นลึกซึ้ง รักความสงบวิเวก ไม่ชอบการประดับตบแต่งที่สวยงามฉูดฉาด ไม่เข้าใกล้กับสตรี เมื่ออยู่สำนักมักบำเพ็ญภาวนาสมาธิมิได้ขาด ฮั้นหยูผู้เป็นลุงก็คอยว่ากล่าวตักเตือน ให้เอาใจใส่ในการเล่าเรียนอักษรศาสตร์ เพื่อจะได้เข้ารับราชการเฝ้าแหน มียศถาบรรดาศักดิ์สืบวงศ์ตระกูลต่อไปภายหน้า แต่ฮั้นเซียงจื๊อกลับตอบว่าการศึกษาเล่าเรียนของข้าพเจ้ากับของท่านลุงนั้นไม่เหมือนกัน กับอีกทั้งอุปนิสัยใจคอระหว่างท่านลุงกับข้าพเจ้า ก็ห่างไกลกันมาก ท่านลุงจึงมิได้เข้าใจในตัวข้าพเจ้า ฮั้นหยูได้ฟังดังนั้นก็ให้ขัดเคืองเป็นอันมาก ที่หลานมาบังอาจโต้ตอบเป็นเชิงสอนเช่นนั้น จึงไม่เอ่ยปากว่ากล่าวอีกตั้งแต่วันนั้นมา มาวันหนึ่งฮั้นเซียงจื๊อได้ออกท่องเที่ยว เพื่อแสวงหาอาจารย์ผู้ที่มีความรู้ในทางบำเพ็ญตบะฌาณ จนมาถึงศาลาริมทาง ณ ตำบลหนึ่ง ได้พบกับลื่อท่งปิน ได้กระทำคำนับคารวะและเริ่มสนทนาปราศรัยในหลักธรรมและหลักปฏิบัติต่าง ๆ เป็นที่ซาบซึ้งแจ่มแจ้ง ฮั้นเซียงจื๊อมีความเคารพเลื่อมใสเป็นอันมาก จึงได้กระทำสักการะกราบไหว้มอบตัวเป็นศิษย์ ลื่อท่งปินก็รับเอาตัวไปสำนัก ให้เล่าเรียนฝึกฝนวิทยาการแห่งเซียนปฏิบัติด้วย จนมีความคล่องแคล่วชำนิชำนาญ แต่ยังมิกลายร่างเป็นเซียน ครั้นมาคราวหนึ่งฮั้นเซียงจื๊อได้เที่ยวมาถึงตำบลหนึ่ง เห็นต้นท้อต้นหนึ่งมีผลทั้งใหญ่และแดงงามกว่าเพื่อน ก็เอื้อมไปเหนี่ยวกิ่งปลิดเอามากิน ส่วนเท้าเหยียบกิ่งล่างกัดกินจกหมดลูกแต่ยังอร่อยและทั้งยังไม่อิ่มดี ก็เอื้อมจะไปปลิดเอาอีกลูกหนึ่งที่ใหญ่เกือบจะไล่เลี่ยกัน แต่พอเอื้อมมือไปจะปลดก็พอดีกิ่งที่เหยียบทานน้ำหนักไม่ได้ก็หักโผง ฮั้นเซียงจื๊อตกลงมาถึงโคนต้นก็มิได้บาดเจ็บอย่างใด แต่ทว่าผิวกายอันเป็นเนื้อหนังเรือนร่างมนุษย์นั้นได้จางคลายหายไป กลายเป็นเรือนร่างของเซียนผู้สำเร็จ สดสะอาดผ่องใสเปล่งปลั่งขึ้นทั้งทรงกำลังฤทธิ์ ครั้นฮั้นเซียงจื๊อได้บรรลุถึงภาวะเป็นเซียนด้วยปาฏิหาริย์เช่นนั้นแล้ว ก่อนอื่นก็นึกถึงฮั้นหยูผู้เป็นลุง ที่ยังมีทิฐิความดื้ออวดรู้อยู่เป็นอันมาก ใคร่ที่จะทรมาน ซึ่งขณะนี้ยกกองออกมาตั้งพิธีขอฝนอยู่นอกเมืองหลวง เนื่องจากปีนั้นฝนแล้งเป็นเวลานาน พระเจ้าถังเต็กจงฮ้องเต้จึงทรงโปรดให้ฮั้นหยู เป็นเจ้าพิธีขอฝน ฮั้นหยูได้ทำพิธีขอฝนเป็นพิธีใหญ่อยู่หลายวัน ฝนก็ยังไม่ตก ราษฏรชาวเมืองที่ตั้งใจคอยน้ำฝน ต่างก็พากันบ่นร่ำร้องกันทั้งเมืองทำให้ฮั้นหยูจวนจะถูกถอดยศปลดออกจากตำแหน่ง ฮั้นเซียงจื๊อล่วงรู้ด้วยฌานเห็นว่า ถ้าไม่ไปช่วยไว้แล้ว น่าที่ลุงผู้มีพระคุณแก่ตนจะต้องได้รับความอัปยศในครั้งนี้เป็นแน่ และทั้งจะได้ทรมานให้หายความอวดดีเสียบ้าง จึงแปลงเพศเป็นเต้าหยิน ถือป้ายอันหนึ่ง เดินเคาะกระดิ่งมา บนป้ายนั้นเขียนว่า เราเป็นพ่อค้าน้ำฝน ใครต้องการก็ให้ซื้อเอา พวกพนักงานทั้งหลายที่อยู่ในโรงพิธีเห็นดังนั้น ก็นำความไปแจ้งแก่ฮั้นหยู ฮั้นหยูได้ทราบดังนั้นก็ดีใจ รีบให้คนไปเชิญตัวเข้ามา พอเต้าหยินแปลงเข้ามาฮั้นหยูก็ลุกขึ้นต้องรับกระทำคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าได้รับรับสั่งให้ทำพิธิขอฝน กาลก็ล่วงมาหลายเวลาแล้วก็ไม่อาจที่จะทำให้ฝนตกได้ ขอท่านซินแสได้โปรดเมตตาช่วยข้าพเจ้าสักครั้ง จะไม่ลืมคุณเลย เต้าหยินแปลงก็ว่าได้ ไม่ยากอะไร ว่าแล้วก็เข้าไปในโรงพิธี นั่งภาวนาเรียกลมฝนเพียงไม่กี่อึดใจ เมฆดำก็ตั้งเค้าใหญ่หนาแน่นมาทั้งสี่ทิศชั่วครู่เดียวฝนก็เทลงมาขนานใหญ่ จนน้ำนองท่วมถนนหนทางทุกแห่ง ฝ่ายฮั้นหยูยังไม่หายอวดดี กลับพูดว่าฝนที่ตกนี้บางทีจะเป็นพิธีของข้าพเจ้า ที่ได้กระทำมาหลายวันจนครบกำหนด คงมิใช่จาออำนาจพิธีของท่านดอกกระมัง เต้าหยินแปลงก็ว่า เหตุใดท่านจึงกลับมาพูดเช่นนั้นเล่า ฝนตกนี้ตกด้วยอำนาจพิธีของข้าพเจ้า ๆ มีหลักฐานที่จะให้ดู ฮั้นหยูจึงว่าท่านมีหลักฐานอะไรข้าพเจ้าใคร่ทราบ เต้าหยินจึงว่า ฝนที่ข้าพเจ้าขอมานี้ ที่ต้นกลางแจ้งจะปรากฏมีน้ำซึมเปียกดินลงไปห้าคืบ ฮั้นหยูก็ใช้ให้พนักงานขุดที่ดินพิสูจน์ ก็สมจริงดังคำของเต้าหยินนั้น ก็ยอมรับว่าจริงดังนั้น เมื่อเสร็จเรื่องแล้วเต้าหยินแปลงก็ลากลับไป วันหนึ่ง ฮั้นหยูได้ทำบุญวันเกิด พวกข้าราชกากรขุนนางและเพื่อนฝูงญาติมิตรมากหลายต่างก็นำของขวัญต่าง ๆ มาอวยพร แล้วก็เข้านั่งโต๊ะเสพสุราอาหารสนทนากันเป็นที่เบิกบาน ขณะนั้นฮั้นเซียงจื๊อก็ได้เข้ามาให้พรแก่ฮั้นหยู ฮั้นหยูเห็นหลานชาย ก็ดีใจ แต่แกล้งทำเป็นวางเฉยอย่างธรรมดา ครั้นฮั้นเซียงจื๊อเข้านั่งโต๊ะเสพสุราอาหารกับคนทั้งหลาย และสนทนากันอยู่นั้น ฮั้นหยูก็แกล้งถามว่า เจ้าจากเราไปแสวงหาวิชาเล่าเรียนอยู่หลายปีคงจะมีความรู้กว้างขวาง ฉะนั้นไหน ๆ วันนี้ก็เป็นวันมงคลของเรา เจ้าลองแต่งฉันท์ที่มีความหมาายไพเราะให้คนทั้งหลายในที่นี้ ได้ฟังเล่นพอเพลินใจสักบทเป็นไรและทั้งเป็นการแสดงภูมิปัญญาของเจ้าด้วย ฮั้นเซียงจื๊อได้ฟังดังนั้นก็รู้ทันทีว่า ลุงของตนมีเจตนาจะให้ได้อาย จึงแกล้งผูกคำแต่งฉันท์ขึ้นบทหนึ่ง เป็นการอวดอำนาจฤทธิ์ของตนว่า มีอยู่เพียงใด จะทำอะไรก็ได้ จะไปไหนมาไหนก็ได้ดังใจ แขกทั้งหลายได้อ่านแล้วต่างก็ชมว่าไพเราะ และทั้งอัศจรรย์ในอำนาจฤทธิ์ที่อวดอ้างนั้น แต่ก็มิกล้าจะพูดจาซักถามอย่างใด เพียงแต่นิ่งอยู่ ส่วนฮั้นหยูนั้นอดไม่ได้จึงพูดว่า เจ้านี้มีฤทธิ์มีอำนาจถึงเพียงนั้นเทียวหรือ เห็นทีจะพูดอวดให้คำฉันท์ไพเราะกระมัง ถ้าจริงดังคำอ้างนี้แล้วก็ลองทำสุราอย่างดี และดอกไม้งาม ๆ มาให้เราดูสักทีจึงจะเชื่อ ฮั้นเซียงจื๊อได้ฟังดังนั้นก็ให้เอาไหสุราออกมาตั้งต่อหน้าคนทั้งปวง แล้วเอาอ่างทองคำปิดปากไห ภาวนาเป่าลงไป แล้วเปิดออก ก็ปรากฏมีน้ำสุราเต็มไห ส่งหลิ่นหอมชวนดื่มฟุ้งออกมา ต่อจากนั้นก็ให้ยกกระถางเปล่าออกมาตั้ง แล้วให้คนใช้ตักดินมาใส่จนเต็ม แล้วเสกน้ำรดลงไป ทันใดนั้นต้นไม้ก็งอกขึ้นมาต้นหนึ่ง สูงขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วก็ผลิดอกออกเป็นดอกโบตั๋น แต่สีดอกเป็นสีเขียวแก่มี ๑๔ กลีบ มีอักษรปรากฏอยู่กลีบละหนึ่งตัรวมเป็นคำฉันท์สองบท ว ความเป็นเชิงปริศนาว่า ดั่งนี้
เมฆบังพนัศเถื่อน ทิศก็เลือนมิแลเห็น
ด่านลำก็ลำเค็ญ หิมะท่วมอกอาชาฯ
ฮั้นหยูอ่านแล้วก็ว่า ความหมายของฉันท์เป็นอย่างไรไม่สามารถจะแปลตีความได้ ฮั้นเซียงจื๊อจึงว่า สิ่งที่บันดาลให้เห็นขึ้นมาลอย ๆ เช่นนี้ ผู้มิใช่ปราชญ์แล้ว ก็ไม่สามารถจะล่วงรู้ได้ เมื่อถึงคราวถึงเวลานั้นแล้วจึงจะทราบบรรดาแขกทั้งหลายต่างก็เห็นด้วยกับฮั้นเซียงจื๊อ เสร็จจากการเลี้ยงแล้ว ฮั้นเซียงจื๊อก็ลากลับ ได้ท่องเที่ยวไปชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว ก็เข้าร่วมกับคณะโป๊ยเซียนเป็นเซียนองค์ที่เจ็ด แต่นั้นมา ครั้งถึงศักราชง่วนหัว อันเป็นปีที่สิบสี่ในรัชกาลของพระเจ้าถังเฮี่ยนจงฮ่องเต้ ประมาณ พ.ศ. ๑๓๖๒ ราชทูตที่พระเจ้าถังเฮี่ยนจงฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้ไปยืมพระพุทธหัตถธาตุ ณ เมืองหงษาวดีนั้น ได้อัญเชิญพระพุทธหัตถธาตุมาถึงเมืองหลวง พระเจ้าถังเฮี่ยนจงฮ่องเต้จึงทรงโปรดให้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานในพระบรมมหาราชวัง เหตุที่ได้ทรงแต่งตั้งราชทูตให้ไปขอยืมพระพุทธหัตถธาตุมาจากเมืองหงษาวดีครั้งนี้ ก็เนื่องมาจากเหตุที่มีราชทูตต่างเมือง นำเครื่องราชบรรณาการมาถวาย และได้กราบทูลให้ทรงทราบว่า ที่พระเจดีย์เมืองหงษาวดีนั้นมีพระพุทธหัตถธาตุ พอถึงกำหนดครบรอบสามสิบปีพระมหากษัตริย์แห่งเมืองนั้น ได้ทรงโปรดให้เปิดพระเจดีย์ให้ประชาชนพลเมืองได้นมัสการสักการะบูชา เป็นงานพิธีมหกรรมเอิกเกริกครั้งหนึ่ง และทุกคราวที่เปิดพระเจดีย์เพื่อบูชาสักการะพระพุทธหัตถธาตุนี้ ในปีนั้นฝนฟ้าก็จะตกบริบูรณ์และต่อไปอีกเป็นเวลาหลายปี บ้านเมืองก็ร่มเย็นเป็นสุขสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร พระเจ้าถังเฮี่ยนจงฮ่องเต้ จึงได้ทรงส่งราชทูตเจริญทางพระราชไมตรีและขอยืมพระพุทธหัตถธาตุมายังเมืองหลวง และได้ทรงกระทำสักการะบูชาภายใน พระบรมมหาราชวังเป็นเวลาสามวัน แล้วจึงโปรดให้อัญเชิญไปประดิษฐานตามอารามต่าง ๆ แห่งละสองวันบ้างสามวันบ้าง แล้วแต่ว่าเป็นอารามเล็กใหญ่สำคัญและไม่สำคัญตามลำดับ เพื่อให้ประชาชนพลเมือง ณ ที่นั้นได้กระทำสักการะบูชา บรรดาพวกข้าราชการขุนนางน้อยใหญ่ตลอดจนประชาราษฏรตามท้องที่ ต่างก็พากันเข้าทำการกราบไหว้สักการะบูชากันอย่างเนืองแน่นทุกวัน เพราะเกรงจะครบกำหนดซึ่งจะต้องส่งพระพุทธหัตถธาตุกลับคืนไป ฝ่ายฮั้นหยูผู้เป็นเสนาบดีกระทรวงวังมีความไม่เชื่อถือ เห็นว่าไร้สาระหาประโยชน์มิได้ จึงได้ถวายหนังสือทูลเกล้า ฯ ถวายฉบันหนึ่ง ติเตียนพระพุทธหัตถธาตุว่า เป็นแต่เพียงกระดูกนิ้วมือไม่ควรที่จะไปหลงนับถือกราบไหว้บูชา สมควรเอาไปเผาไฟแล้วทิ้งน้ำเสีย เพื่อมิให้คนชั้นหลังลุ่มหลงเชื่อถือต่อไป พระเจ้าถังเฮี่ยนจงฮ่องเต้ทรงพระพิโรธที่ฮั้นหยูบังอาจตำหนิพระองค์ และแสดงความลบหลู่สิ่งเคารพที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นการผิดวิสัยของคนดีมีปัญญาจะกระทำ ทรงโปรดให้ลงพระราชอาญาประหารชีวิต แต่พวกขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งหลายต่างก็ช่วยกันกราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษ เพราะเห็นว่าฮั้นหยูเป็นคนซื่อตรงและกราบทูลไปด้วยใจซื่อ มิคิดให้รอบคอบว่าสูงต่ำควรมิควรประการใด พระเจ้าถังเฮี่ยนจงฮ่องเต้ก็ทรงโปรดให้งดโทษประหาร แต่ให้ลดตำแหน่ง และเนรเทศให้ไปเป็นเจ้าเมืองเชียวเอี๋ยงซึ่งเป็นเมืองห่างไกลทุรกันดารยิ่ง ฮั้นหยูเดินทางออกจากเมืองหลวงรอนแรมมาเป็นเวลาสิบกว่าวันระยะทางใกล้เมืองด่านลำ อันตั้งอยู่ในที่ราบเทือกเขาฉิ้นเนี้ย เวลานั้นเป็นฤดูเหมันต์อากาศหนาวจัดหิมะลงตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ม้าที่ฮั้นหยูขี่เกือบจะขยับขาเดินไม่ได้เพราะความหนาวเหน็บ ตัวฮั้นหยูเองก็อยู่ในวัยชรา เมื่อนั่งมาบนหลังม้าเป็นเวลานานทั้งถูกความหนาวเข้าบีบคั้นเช่นนั้น ก็เกือบจะหมดสติตัวแข็งตาย ขณะที่นั่งทอดอาลัยชีวิตมองดูหิมะที่ขาวโพลนเต็มไปทั่วนั้น ก็พอเห็นชายคนหนึ่ง วิ่งลิ่วมาบนพื้นหิมะครั้นเข้ามาใกล้จนถึงม้า จึงจำได้ว่า เป็นฮั้นเซียงจื๊อกระทำคำนับแล้วถามว่า ท่านลุงยังจำฉันท์สองบทบนกลีบดอกโบตั๋นในวันกินเลี้ยงทำบุญอายุได้หรือไม่ ฮั้นหยูมิได้ตอบแต่ถามว่า ที่นี่ตำบลอะไร ฮั้นเซี่ยงจื๊อตอบว่าที่นี่เป็นเขตเมืองด่านลำ ฮั้นหยูได้ฟังดังนั้นก็ถอนใจใหญ่แล้วว่า ชีวิตของมนุษย์นั้นจะดีร้ายอย่างไรฟ้าดินย่อมกำหนดไว้แล้ว ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ หากผลบาปตามทันก็ย่อมได้รับผลร้าย ถ้าบุญตามทันก็ได้รับผลเป็นความสุขดุจเงาที่ติดตามตัวฉะนั้น แต่ฉันท์ที่ปรากฏบนกลีบดอกไม้นั้น ยังไม่เต็มความหมาย เราจะแต่งเพิ่มเติม ให้ได้ใจความเต็มความหมายนั้น ว่าแล้วฮั้นหยูก็กล่าวฉันท์ แต่งเพิ่มเติมใส่เข้าเป็นบาทต้นให้ฮั้นเซียงจื๊อฟังดังต่อไปนี้
ปุพพัณหเข้าทูลสาร นฤบาลสิโกรธา
ตกบ่ายประทานตรา เนรเทศ ณ เชียวเอี๋ยง
มัคค์จรัลแปดร้อยโยชน์ ธ ทรงโปรดให้จากเวียง
เพราะบาปขนาบเคียง จึ่งวิปโยคระกำเป็น ฯ
เมฆบังพนัศเถื่อน ทิศก็เลือนมิแลเห็น
ด่านลำก็ลำเค็ญ หิมะติดอกอาชา
เจ้าจรจากถิ่นไกล มุ่งจักช่วยธุระมา
จุ่งเก็บอัฐข้า ไว้ ณ ฝั่งสมุทร์เจียง ฯ
ฮั้นเซียงจื๊อได้พาฮั้นหยูผู้เป็นลุงเข้าไปพัก ณ เมืองด่านลำ มาบัดนี้ฮั้นหยูก็หมดพยศหมดความทะนงตัว มีความเลื่อมใสและเชื่อถือในตัวฮั้นเซียงจื๊อผู้เป็นหลานอย่างแท้จริง ในคืนวันนั้น หลังจากที่ได้เข้ามาพักผ่อน ณ ที่พัก พอสบายหายหนาวเหน็ดเหนื่อยแล้ว สองคนลุงหลานได้นั่งสนทนากันถึงความเป็นไปของโลกทั้งปัจจุบัน อดีต และอนาคต และธรรมอันละเอียดสุขุม ตลอดจนถึงวิธีการบำเพ็ญเพียรฌาณ สมาธิ จนถึงขั้นสำเร็จเป็นเซียน ฮั้นหยูยิ่งได้สนทนา ยิ่งได้ฟังถ้อยคำชี้แจงแนะนำและอธิบายจากฮั้นเซียงจื๊อ ก็ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสและนับถือหลานชายยิ่งขึ้น ครั้นเวลารุ่งเช้า ฮั้นเซียงจื๊อก็ส่งยาให้แก่ฮั้นหยูห่อหนึ่งและสั่งว่า ยานี้ท่านลุงกินเพียงเม็ดเดียวจะทำให้ร่างกายทนหนาวทนร้อนไปได้หนึ่งปี ว่าแล้วก็คำนับลา ฮั้นหยูเห็นดังนั้นก็ใจหาย ฮั้นเซียงจื๊อจึงว่าอีกว่ายานี้นอกจากกันหนาวแล้ว ท่านก็จะไม่เจ็บไข้ และถึงเมืองเชียงเอี๋ยงด้วยความสะดวกสบาย ในไม่ช้าพระเจ้าถังเฮี่ยนจงฮ่องเต้ ก็จะทรงโปรดเรียกกลับไปรับราชการตามเดิม ฮั้นหยูก็ถามอีกว่าแล้วต่อไปข้างหน้าลุงกับหลานจะได้พบกันอีกหรือไม่ ฮั้นเซียงจื๊อก็ตอบว่า นั่นเป็นการภายหน้าจึ่งค่อยรู้ ขอให้ท่านลุงจงปฏิบัติตนให้ดี เป็นไปตามที่ได้สนทนากันไว้นั้นก็แล้วกัน ว่าแล้วก็กระทำคำนับหายไปจากที่นั้น