ในครั้งสมัยแผ่นดินซ้อง ประมาณ พ.ศ. ๑๕๐๓ ถึง พ.ศ. ๑๘๑๙ ในรัชกาลพระเจ้าซ้องไทโจ๊วกาวฮ่องเต้ หญิงคนหนึ่ง ชื่อนางเช่าสี ได้เป็นที่ฮองเฮาพระมเหษีเอก ครั้นเมื่อพระจ้าซ้องไทโจ๊วกาวฮ่องเต้สวรรคตแล้ว พระราชโอรสได้ขึ้นครองราชสมบัติ และได้ยกนางเช่าสีฮองเฮาพระราชมารดาขึ้นเป็นฮองไทเฮา (คือสมเด็จพระพันปีหลวง) พระนางเช่าสีฮองไทเฮามีน้องชายสองคน คนพี่ไม่ปรากฏชื่อ คนทั้งหลายเรียกกันว่า เช่าก๊กกู๋ ส่วนน้องชายชื่อ เช่ายี่ ทั้งสองคนมีนิสัยใจคอต่างกันไกล เช่าก๊กกู๋นั้นเป็นคนเที่ยงตรง มีนิสัยรักความสงบเมตตาปราณี ส่วนเช่ายี่นั้นประพฤติตนเป็นพาลข่มเหงรังแกราษฏร เพราะถือว่าเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ ที่ดินเรือกสวนไร่นาของใคร ถ้าชอบใจ ก็เข้ายึดครองรุกเอาตามชอบใจ ลูกสาวของใครที่ต้องตาต้องใจ ก็ฉุดคร่าเอามาโดยพละการ พวกสมุนบริวารก็ล้วนแต่เกกมะเหรกอันธพาล เที่ยวปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ตายก็ไม่มีโทษ ถ้ามีเรื่องฟ้องร้องไปถึงโรงศาล พวกผู้พิพาษาขุนศาลตุลาการก็ไม่กล้าที่จะพิจารณาหรือรับฟ้อง เหตุด้วยเกรงอำนาจเช่ายี่ ผู้เป็นน้องชายของนางเช่าสีฮองไทเฮา เช่าก๊กกู๋ ผู้พี่ชายได้เห็นและได้ฟังข่าวเรื่องราวอันเป็นความชั่วของน้องชายเช่นนั้น ก็ได้ว่ากล่าวตักเตือนอยู่เสมอ แต่เช่ายี่จะเชื่อฟังก็หาไม่ กลับโกรธและต่อเถียงต่าง ๆ นานา เช่าก๊กกู๋เห็นดังนั้น ก็มาคิดรำพึงแต่ผู้เดียวว่า การที่พี่สาวของเราได้เป็นถึงเมียพระเจ้าแผ่นดินที่ฮองเฮา จนกระทั่งได้มาเป็นแม่ของพระเจ้าแผ่นดินขึ้นเป็นที่ฮองไทเฮาเช่นนี้ ก็คงเป็นด้วยกุศลบุญของบรรพบุรุษของเราที่ได้กระทำไว้ต่อ ๆ กันมา จนถึงบุญบารมีของพี่สาวเรา ที่ได้กระทำมาแต่ปางก่อนประกอบเข้าด้วย จึงได้ดีมีเกียรติยศเป็นใหญ่ฉะนี้ ก็เมื่อกุศลบารมีส่งเสริมให้เป็นถึงฮองไทเฮา ก็เป็นผลพลอยให้เราซึ่งมิได้ทำคุณประโยชน์อะไรเลย พลอยได้รับผลมีเกียรติยศบรรดาศักดิ์สมบูรณ์พูนสุขไปด้วย ไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำลำบากยากกาย เหมือนกับชนทั้งหลาย และเราเองก็ได้ตั้งใจพยายามประพฤติตนเป็นคนดี รับราชการสนองพระเดชพระคุณในราชการแผ่นดินแห่งราชวงศ์ซ้อง ทั้งเพื่อรักษาเกียรติคุณของตระกูลวงศ์ด้วย แต่เช่ายี่น้องเรากลับมาประพฤติตนเป็นคนชั่วสันดานพาลต่าง ๆ ใช้อำนาจราชศักดิ์ที่ตนได้มาในทางต่ำทราม เป็นการทำลายศักดิ์ศรีของตระกูล คนเช่นเช่ายี่นี้เมื่อสิ้นชีวิตลง ก็ไม่แคล้วที่จะถูกเงี่ยมฬ่ออ๋องลงทัณฑ์ในขุมนรกอย่างทรมานแสนสาหัส แต่การกระทำของน้องชายเรานี้ คนที่มิรู้ก็เข้าใจไปว่า เราผู้เป็นพี่ชายคอยสนับสนุนให้ท้าย ก็ไม่แคล้วที่จะพ้นคำสาปแช่งของประชาชนพลเมืองไปได้ อย่ากระนั้นเลย เราอย่าอยู่ร่วมถิ่นที่กับคนชั่ว ควรจะปลีกตัวหลีกเลี่ยงไป จึงจะเป็นการสมควร ออกเที่ยวแสวงหาความสงบวิเวกอันเป็นความสันโดษร่มเย็นทางใจจะดีกว่า เมื่อคิดพิจารณาปลงใจตกเด็ดขาดแล้ว เช่าก๊กกู๋ก็ปฏิบัติตนอย่างนักบวช ถือศีลกินเจและออกหาที่วิเวกเพื่อบำเพ็ญภาวนา มอบทรัพย์สมบัติให้บุตรภรรยา และแจกเงินทองส่วนที่เหลือให้เป็นทานแก่คนยากคนจน แล้วก็สวมเครื่องแต่งกายแบบเต้าหยินบ่ายหน้าออกสู่ป่าชัฏ เช่าก๊กกู๋ ได้เที่ยวเดินทางแสวงหาที่สงบสงัดเพื่อให้เหมาะแก่การบำเพ็ญอยู่เป็นเวลาหลายวัน ก็ได้พบถ้ำที่เชิงเขาถ้ำหนึ่ง ดูทำเลสถานที่น่ารื่นรมย์ก็มีความยินดีเข้าจัดแจงปรับปรุงตบแต่งสถานที่ทั้งภายในและภายนอกให้สะอาด แล้วยับยั้งเข้าพำนักบำเพ็ญเพียรเจริญภาวนาอยู่ ณ ถ้ำนั้นเป็นเวลาหลายปี จนบรรลุผลสำเร็จมีฌานตบะอันกล้าแข็ง เหตุนี้ได้ล่วงรู้ไปถึงท่านลีเล่ากุน จึงได้มีบัญชาให้ฮั้นเจงหลีและลื่อท่งปินไปรับตัว เซียนทั้งสองรับบัญชาแล้ว ก็เหยียบเมฆเหาะมายังถ้ำที่อยู่ของเช่าก๊กกู๋ ลงยังพื้นดินแล้ว ได้เข้าคำนับทักทายปราศรัยกันกด้วยความยินดี ฮั้นเจงหลีจึงถามว่า การที่ท่านปฏิบัติบำเพ็ญเพียรทั้งนี้เพื่อประสงค์สิ่งใด เช่าก๊กกู๋จึงตอบว่าข้าพเจ้าไม่มีความประสงค์สิ่งภายนอกใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากความแท้จริงภายในเท่านั้น เซียนทั้งสองจึงย้อนถามอีกว่า ก็ที่ท่านว่า ความแท้จริงนั้นอยู่ที่ไหนเล่า เช่าก๊กกู๋ได้ฟัง ก็ยิ้มหัวแล้วชี้มือขึ้นไปเบื้องบน เซียนทั้งสองก็ว่าอีกว่า ก็ที่ท่านชี้ขึ้นไปเบื้องบนนั้นอยู่ที่ไหน ตอนนี้เช่าก๊กกู๋ผงกศีรษะหัวเราะชอบใจ แล้วลดมือลงมาชี้ที่หัวใจเซียนทั้งสองก็หัวเราะด้วยความพอใจแล้วว่า ความแท้จริงนั้นก็คือใจ การบำเพ็ญภาวนาก็เพื่อความเข้าถึงธาตุแท้แห่งใจ เมื่อท่านบรรลุผลดั่งนี้แล้ว ก็เป็นอันท่านได้รับค่าแห่งการบำเพ็ญเพียรสมปรารถนาแล้ว ขอเชิญท่านไปยังสำนักท่านอาจารย์ลีเล่ากุนด้วยกันเถิด เช่าก๊กกู๋ก็กระทำคำนับแล้วเหยียบเมฆเหาะไปยังเขาเล่งห่วยหวยพร้อมกัน ขณะนั้น ท่านลีเล่ากุนกำลังนั่งสนทนากับอวนคูเซียนอยู่ภายในถ้ำ ลีเล่ากุนได้กล่าวกับอวนคูเซียนว่า บัดนี้ในคณะโป๊ยเซียนก็ได้มีประจำอยู่เจ็ดตำแหน่งแล้ว ยังคงเหลืออยู่แต่ตำแหน่งที่แปดอีกตำแหน่งเดียว อันเป็นตำแหน่งของเช่าก๊กกู๋เท่านั้น บัดนี้ เช่าก๊กกู๋ก็ได้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติได้บรรลุผลสำเร็จถึงภาวะแห่งความเป็นเซียนและขณะนี้ฮั้นเจงหลีและลื่อท่งปินได้ไปรับ กำลังจะมาถึงอยู่แล้ว ท่านจงไปต้อนรับเถิด อวนคูเซียนก็ลุกขึ้นกระทำคำนับ ออกไปคอยอยู่ที่ประตูถ้ำ ก็พอเห็นทิก๋วยลี้ เจียงกั๋วเล้า น่าไชหัว ฮั้นเซียงจื๊อ และฮ่อเซียนโกว ยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว ก็กระทำคำนับซึ่งกันและกัน ทิก๋วยลี้ จึงว่า บัดนี้ฮั้นเจงหลีและลื่อท่งปินได้ไปรับเช่าก๊กกู๋ ซึ่งจะได้รับตำแหน่งเข้าอยู่ในลำดับเซียนองค์ที่แปด จึงได้มาพร้อมกัน คอยต้อนรับเพื่อความพร้อมหน้า เป็นองค์สามัคคีตามบัญชาของท่านอาจารย์ลีเล่ากุน อวนคูเซียนจึงว่า เป็นที่ควรปิติยินดียิ่งนัก ในการที่คณะโป๊ยเซียนได้มีสภาพครบองค์คณะโดยบริบูรณ์ในเวลาอันรวดเร็ว (เวลารวดเร็วอย่างของเซียนก็นับเป็นพัน ๆ ปีของมนุษย์) ถ้าจะหวนระลึกไปถึงกาลเวลา ที่อาจารย์ทิก๋วยลี้สำเร็จมาจนถึงบัดนี้ ก็เป็นเวลาในโลกมนุษย์กว่าพันปี ดูแล้วก็นานหนักหนา แต่สำหรับของเราก็คล้ายกับวันสองวันเท่านั้นเอง เซียนทั้งหลายที่ยืนประชุม ณ ที่นั้นต่างก็หัวเราะ ก็พอฮั้นเจงหลีและลื่อท่งปินนำเช่าก๊กกู๋มาถึงต่างได้กระทำคำนับ กระทำความรู้จักคารวะต่อกันตามลำดับเก่าใหม่ เสร็จแล้ว ก็พอกันเข้าไปภายในถ้ำ กระทำสักการะเคารพต่อท่านลีเล่ากุน แล้วต่างก็เข้านั่ง ณ ที่อันเป็นประจำของตน แต่เช่าก๊กกู๋ยังคงยืนพนมมืออยู่ เพราะยังมิได้รับบัญชาประการใด เมื่อนั่งกันเรียบร้อยแล้ว ท่านลีเล่ากุนจึงว่า การที่เช่าก๊กกู๋ได้เสียสละความผาสุข ตลอดจนยศถาบรรดาศักดิ์ทรัพย์สมบัติและครอบครัว ซึ่งเป็นวิสัยของชาวโลก ออกมาประพฤติบำเพ็ญเพียร จนบรรลุผลสำเร็จ เข้าสู่ภาวะอันเลิศแห่งความเป็นเซียนดั่งนี้เป็นที่น่าปิติยินดียิ่งนัก บัดนี้เราขอรับเช่าก๊กกู๋ เข้าอยู่ในตำแหน่งเซียนเป็นลำดับองค์ที่แปดสืบไป เป็นอันได้ครบองค์คณะแห่งโป๊ยเซียน ที่ได้เลือกแล้ว และทรงคุณโดยประการทั้งปวง เซียนทั้งแปดองค์เมื่อเข้าประจำลำดับตำแหน่งครบแล้ว ต่างก็ได้กระทำสักการะ กราบลงอีกครั้งหนึ่ง แล้วเข้าประจำที่ของแต่ละคน ได้สนทนาซักถามถึงความเป็นไป ตลอดจนข้อธรรมทั้งปวงพอเป็นเวลาอันสมควรแล้ว ต่างก็กราบลาท่านลีเล่ากุนและคำนับลาอวนคูเซียนกลับไปยังสำนักแห่งตน ตั้งแต่บัดนั้นเซียนทั้งแปดต่างก็มีสามัคคีธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะปฏิบัติสิ่งใดก็พร้อมเพรียงกัน ประกอบทั้งมีเดชอำนาจอันสมบูรรณ์ จึงเป็นที่รักใคร่นับถือของเหล่าเทพยดาและเหล่าเซียนใหญ่น้อยทั้งหลาย ฯลฯ วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
เซียนองค์ที่ 8
ในครั้งสมัยแผ่นดินซ้อง ประมาณ พ.ศ. ๑๕๐๓ ถึง พ.ศ. ๑๘๑๙ ในรัชกาลพระเจ้าซ้องไทโจ๊วกาวฮ่องเต้ หญิงคนหนึ่ง ชื่อนางเช่าสี ได้เป็นที่ฮองเฮาพระมเหษีเอก ครั้นเมื่อพระจ้าซ้องไทโจ๊วกาวฮ่องเต้สวรรคตแล้ว พระราชโอรสได้ขึ้นครองราชสมบัติ และได้ยกนางเช่าสีฮองเฮาพระราชมารดาขึ้นเป็นฮองไทเฮา (คือสมเด็จพระพันปีหลวง) พระนางเช่าสีฮองไทเฮามีน้องชายสองคน คนพี่ไม่ปรากฏชื่อ คนทั้งหลายเรียกกันว่า เช่าก๊กกู๋ ส่วนน้องชายชื่อ เช่ายี่ ทั้งสองคนมีนิสัยใจคอต่างกันไกล เช่าก๊กกู๋นั้นเป็นคนเที่ยงตรง มีนิสัยรักความสงบเมตตาปราณี ส่วนเช่ายี่นั้นประพฤติตนเป็นพาลข่มเหงรังแกราษฏร เพราะถือว่าเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ ที่ดินเรือกสวนไร่นาของใคร ถ้าชอบใจ ก็เข้ายึดครองรุกเอาตามชอบใจ ลูกสาวของใครที่ต้องตาต้องใจ ก็ฉุดคร่าเอามาโดยพละการ พวกสมุนบริวารก็ล้วนแต่เกกมะเหรกอันธพาล เที่ยวปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ตายก็ไม่มีโทษ ถ้ามีเรื่องฟ้องร้องไปถึงโรงศาล พวกผู้พิพาษาขุนศาลตุลาการก็ไม่กล้าที่จะพิจารณาหรือรับฟ้อง เหตุด้วยเกรงอำนาจเช่ายี่ ผู้เป็นน้องชายของนางเช่าสีฮองไทเฮา เช่าก๊กกู๋ ผู้พี่ชายได้เห็นและได้ฟังข่าวเรื่องราวอันเป็นความชั่วของน้องชายเช่นนั้น ก็ได้ว่ากล่าวตักเตือนอยู่เสมอ แต่เช่ายี่จะเชื่อฟังก็หาไม่ กลับโกรธและต่อเถียงต่าง ๆ นานา เช่าก๊กกู๋เห็นดังนั้น ก็มาคิดรำพึงแต่ผู้เดียวว่า การที่พี่สาวของเราได้เป็นถึงเมียพระเจ้าแผ่นดินที่ฮองเฮา จนกระทั่งได้มาเป็นแม่ของพระเจ้าแผ่นดินขึ้นเป็นที่ฮองไทเฮาเช่นนี้ ก็คงเป็นด้วยกุศลบุญของบรรพบุรุษของเราที่ได้กระทำไว้ต่อ ๆ กันมา จนถึงบุญบารมีของพี่สาวเรา ที่ได้กระทำมาแต่ปางก่อนประกอบเข้าด้วย จึงได้ดีมีเกียรติยศเป็นใหญ่ฉะนี้ ก็เมื่อกุศลบารมีส่งเสริมให้เป็นถึงฮองไทเฮา ก็เป็นผลพลอยให้เราซึ่งมิได้ทำคุณประโยชน์อะไรเลย พลอยได้รับผลมีเกียรติยศบรรดาศักดิ์สมบูรณ์พูนสุขไปด้วย ไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำลำบากยากกาย เหมือนกับชนทั้งหลาย และเราเองก็ได้ตั้งใจพยายามประพฤติตนเป็นคนดี รับราชการสนองพระเดชพระคุณในราชการแผ่นดินแห่งราชวงศ์ซ้อง ทั้งเพื่อรักษาเกียรติคุณของตระกูลวงศ์ด้วย แต่เช่ายี่น้องเรากลับมาประพฤติตนเป็นคนชั่วสันดานพาลต่าง ๆ ใช้อำนาจราชศักดิ์ที่ตนได้มาในทางต่ำทราม เป็นการทำลายศักดิ์ศรีของตระกูล คนเช่นเช่ายี่นี้เมื่อสิ้นชีวิตลง ก็ไม่แคล้วที่จะถูกเงี่ยมฬ่ออ๋องลงทัณฑ์ในขุมนรกอย่างทรมานแสนสาหัส แต่การกระทำของน้องชายเรานี้ คนที่มิรู้ก็เข้าใจไปว่า เราผู้เป็นพี่ชายคอยสนับสนุนให้ท้าย ก็ไม่แคล้วที่จะพ้นคำสาปแช่งของประชาชนพลเมืองไปได้ อย่ากระนั้นเลย เราอย่าอยู่ร่วมถิ่นที่กับคนชั่ว ควรจะปลีกตัวหลีกเลี่ยงไป จึงจะเป็นการสมควร ออกเที่ยวแสวงหาความสงบวิเวกอันเป็นความสันโดษร่มเย็นทางใจจะดีกว่า เมื่อคิดพิจารณาปลงใจตกเด็ดขาดแล้ว เช่าก๊กกู๋ก็ปฏิบัติตนอย่างนักบวช ถือศีลกินเจและออกหาที่วิเวกเพื่อบำเพ็ญภาวนา มอบทรัพย์สมบัติให้บุตรภรรยา และแจกเงินทองส่วนที่เหลือให้เป็นทานแก่คนยากคนจน แล้วก็สวมเครื่องแต่งกายแบบเต้าหยินบ่ายหน้าออกสู่ป่าชัฏ เช่าก๊กกู๋ ได้เที่ยวเดินทางแสวงหาที่สงบสงัดเพื่อให้เหมาะแก่การบำเพ็ญอยู่เป็นเวลาหลายวัน ก็ได้พบถ้ำที่เชิงเขาถ้ำหนึ่ง ดูทำเลสถานที่น่ารื่นรมย์ก็มีความยินดีเข้าจัดแจงปรับปรุงตบแต่งสถานที่ทั้งภายในและภายนอกให้สะอาด แล้วยับยั้งเข้าพำนักบำเพ็ญเพียรเจริญภาวนาอยู่ ณ ถ้ำนั้นเป็นเวลาหลายปี จนบรรลุผลสำเร็จมีฌานตบะอันกล้าแข็ง เหตุนี้ได้ล่วงรู้ไปถึงท่านลีเล่ากุน จึงได้มีบัญชาให้ฮั้นเจงหลีและลื่อท่งปินไปรับตัว เซียนทั้งสองรับบัญชาแล้ว ก็เหยียบเมฆเหาะมายังถ้ำที่อยู่ของเช่าก๊กกู๋ ลงยังพื้นดินแล้ว ได้เข้าคำนับทักทายปราศรัยกันกด้วยความยินดี ฮั้นเจงหลีจึงถามว่า การที่ท่านปฏิบัติบำเพ็ญเพียรทั้งนี้เพื่อประสงค์สิ่งใด เช่าก๊กกู๋จึงตอบว่าข้าพเจ้าไม่มีความประสงค์สิ่งภายนอกใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากความแท้จริงภายในเท่านั้น เซียนทั้งสองจึงย้อนถามอีกว่า ก็ที่ท่านว่า ความแท้จริงนั้นอยู่ที่ไหนเล่า เช่าก๊กกู๋ได้ฟัง ก็ยิ้มหัวแล้วชี้มือขึ้นไปเบื้องบน เซียนทั้งสองก็ว่าอีกว่า ก็ที่ท่านชี้ขึ้นไปเบื้องบนนั้นอยู่ที่ไหน ตอนนี้เช่าก๊กกู๋ผงกศีรษะหัวเราะชอบใจ แล้วลดมือลงมาชี้ที่หัวใจเซียนทั้งสองก็หัวเราะด้วยความพอใจแล้วว่า ความแท้จริงนั้นก็คือใจ การบำเพ็ญภาวนาก็เพื่อความเข้าถึงธาตุแท้แห่งใจ เมื่อท่านบรรลุผลดั่งนี้แล้ว ก็เป็นอันท่านได้รับค่าแห่งการบำเพ็ญเพียรสมปรารถนาแล้ว ขอเชิญท่านไปยังสำนักท่านอาจารย์ลีเล่ากุนด้วยกันเถิด เช่าก๊กกู๋ก็กระทำคำนับแล้วเหยียบเมฆเหาะไปยังเขาเล่งห่วยหวยพร้อมกัน ขณะนั้น ท่านลีเล่ากุนกำลังนั่งสนทนากับอวนคูเซียนอยู่ภายในถ้ำ ลีเล่ากุนได้กล่าวกับอวนคูเซียนว่า บัดนี้ในคณะโป๊ยเซียนก็ได้มีประจำอยู่เจ็ดตำแหน่งแล้ว ยังคงเหลืออยู่แต่ตำแหน่งที่แปดอีกตำแหน่งเดียว อันเป็นตำแหน่งของเช่าก๊กกู๋เท่านั้น บัดนี้ เช่าก๊กกู๋ก็ได้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติได้บรรลุผลสำเร็จถึงภาวะแห่งความเป็นเซียนและขณะนี้ฮั้นเจงหลีและลื่อท่งปินได้ไปรับ กำลังจะมาถึงอยู่แล้ว ท่านจงไปต้อนรับเถิด อวนคูเซียนก็ลุกขึ้นกระทำคำนับ ออกไปคอยอยู่ที่ประตูถ้ำ ก็พอเห็นทิก๋วยลี้ เจียงกั๋วเล้า น่าไชหัว ฮั้นเซียงจื๊อ และฮ่อเซียนโกว ยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว ก็กระทำคำนับซึ่งกันและกัน ทิก๋วยลี้ จึงว่า บัดนี้ฮั้นเจงหลีและลื่อท่งปินได้ไปรับเช่าก๊กกู๋ ซึ่งจะได้รับตำแหน่งเข้าอยู่ในลำดับเซียนองค์ที่แปด จึงได้มาพร้อมกัน คอยต้อนรับเพื่อความพร้อมหน้า เป็นองค์สามัคคีตามบัญชาของท่านอาจารย์ลีเล่ากุน อวนคูเซียนจึงว่า เป็นที่ควรปิติยินดียิ่งนัก ในการที่คณะโป๊ยเซียนได้มีสภาพครบองค์คณะโดยบริบูรณ์ในเวลาอันรวดเร็ว (เวลารวดเร็วอย่างของเซียนก็นับเป็นพัน ๆ ปีของมนุษย์) ถ้าจะหวนระลึกไปถึงกาลเวลา ที่อาจารย์ทิก๋วยลี้สำเร็จมาจนถึงบัดนี้ ก็เป็นเวลาในโลกมนุษย์กว่าพันปี ดูแล้วก็นานหนักหนา แต่สำหรับของเราก็คล้ายกับวันสองวันเท่านั้นเอง เซียนทั้งหลายที่ยืนประชุม ณ ที่นั้นต่างก็หัวเราะ ก็พอฮั้นเจงหลีและลื่อท่งปินนำเช่าก๊กกู๋มาถึงต่างได้กระทำคำนับ กระทำความรู้จักคารวะต่อกันตามลำดับเก่าใหม่ เสร็จแล้ว ก็พอกันเข้าไปภายในถ้ำ กระทำสักการะเคารพต่อท่านลีเล่ากุน แล้วต่างก็เข้านั่ง ณ ที่อันเป็นประจำของตน แต่เช่าก๊กกู๋ยังคงยืนพนมมืออยู่ เพราะยังมิได้รับบัญชาประการใด เมื่อนั่งกันเรียบร้อยแล้ว ท่านลีเล่ากุนจึงว่า การที่เช่าก๊กกู๋ได้เสียสละความผาสุข ตลอดจนยศถาบรรดาศักดิ์ทรัพย์สมบัติและครอบครัว ซึ่งเป็นวิสัยของชาวโลก ออกมาประพฤติบำเพ็ญเพียร จนบรรลุผลสำเร็จ เข้าสู่ภาวะอันเลิศแห่งความเป็นเซียนดั่งนี้เป็นที่น่าปิติยินดียิ่งนัก บัดนี้เราขอรับเช่าก๊กกู๋ เข้าอยู่ในตำแหน่งเซียนเป็นลำดับองค์ที่แปดสืบไป เป็นอันได้ครบองค์คณะแห่งโป๊ยเซียน ที่ได้เลือกแล้ว และทรงคุณโดยประการทั้งปวง เซียนทั้งแปดองค์เมื่อเข้าประจำลำดับตำแหน่งครบแล้ว ต่างก็ได้กระทำสักการะ กราบลงอีกครั้งหนึ่ง แล้วเข้าประจำที่ของแต่ละคน ได้สนทนาซักถามถึงความเป็นไป ตลอดจนข้อธรรมทั้งปวงพอเป็นเวลาอันสมควรแล้ว ต่างก็กราบลาท่านลีเล่ากุนและคำนับลาอวนคูเซียนกลับไปยังสำนักแห่งตน ตั้งแต่บัดนั้นเซียนทั้งแปดต่างก็มีสามัคคีธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะปฏิบัติสิ่งใดก็พร้อมเพรียงกัน ประกอบทั้งมีเดชอำนาจอันสมบูรรณ์ จึงเป็นที่รักใคร่นับถือของเหล่าเทพยดาและเหล่าเซียนใหญ่น้อยทั้งหลาย ฯลฯ เซียนองค์ที่ 7

เซียนองค์ที่ 6

เซียนองค์ที่ 5

ในสมัยยุคแผ่นดินไซฮั่น มีชายขอทานคนหนึ่งชื่อ น่าไชหัว มีร่างสูงเพียงสี่ศอก ตามประวัติว่า เชียะคาไต้เซียนจุติลงมาเกิด เพื่อบำเพ็ญประโยชน์แก่มนุษย์ แต่ตามประวัติในตำนาน มิได้กล่าวไว้ว่า เป็นลูกเต้าเหล่ากอตระกูลใด เพราะเหตุที่น่าไชหัวได้ท่องเที่ยวขอทานเตร็ดเตร่มาหลายสิบหัวเมือง เครื่องแต่งกายที่สวมใส่เป็นเสื้อกางเกงสีน้ำเงิน แต่ก็เก่าขาดปะแทบไม่มีเนื้อดี สวมรองเท้าทำด้วยฟางหุ้มผ้าเพียงข้างเดียว เที่ยวร้องเพลงขอทานเขาเรื่อยมา ไม่ทำมาหากินอย่างอื่นใด เมื่อได้เงินทองพอสมควรแล้ว ก็เข้าร้านเหล้ากิน แล้วก็ขยับกรับในมือเสียงก้องกังวาล พลางขับเพลงประสานด้วยน้ำเสียงท่วงทำนองอันไพเราะ เพลงที่ร้องก็ล้วนแต่เป็นเพลงภาษิตแทรกธรรมะเตือนใจคน ทั้งเพราะทั้งน่าฟัง เป็นที่ชอบและเพลินใจแก่ผู้คนทั้งหลายทุกหัวเมืองที่ผ่านมา กรับที่ประจำตัวนั้นมีรูปลักษณะผิดกับกรับธรรมดา คือยาวถึงสี่คืบครึ่ง กว้างประมาณ หนึ่งฝ่ามือ หนาครึ่งองคุลี เนื้อกรับเป็นมันเงาวาววามคล้ายเนื้อหยก เวลาน่าไชหัวขยับกรับ เสียงดังกังวาลน่าฟังยิ่งนัก ถ้าวันใดขอทานได้เงินมามาก ก็แจกจ่ายให้แก่คนแก่คนเฒ่าที่ยากจนทั้งหญิงชาย บางคราวนึกขลังขึ้นมา พอได้เงินอีแปะมามาก น่าไชหัวก็เอาร้อยเชือกเป็นพวงยาวแล้ววิ่งลามไปตามถนนมิใยเชือกที่ร้อยพวงอีแปะจะขาดก็ไม่เอาใจใส่ คงวิ่งลากไปจนเงินหมดพวง พวกคนยากจนและเด็กตามถนนก็พากันวิ่งตามเก็บกันอย่างชุลมุนสนุกสนาน ความประพฤติของน่าไชหัวที่ไม่เหมือนใครมีอยู่อย่างหนึ่ง คือเวลาหน้าร้อนก็สวมใส่เนื้อหนา ทำเป็นเสื้อชั้นใน ถึงจะเป็นเวลาหน้าร้อนแดดจัดปานใด ก็ไม่ปรากฏว่ามีเหงื่อไหลอย่างคนธรรมดาสามัญ เวลาหน้าหนาวจัดหิมะลงท่วมเข่าก็ใส่เสื้อชั้นในบาง ๆ ตัวเดียว ทั้งตามหูตาปากจมูกก็ปรากกฏมีไอประดุจไอน้ำร้อนที่เดือดพลุ่งออกมา มาคราวหนึ่ง ขณะที่น่าไชหัวเสพสุราพอตึงหน้าครึกครื้น ก็ออกเดินรัวกรับร้องรำทำเพลง ผู้คนพากันตามมุงดูเต็มท้องถนนอยู่นั้น มีชายชราผู้หนึ่งพูดว่า น่าไชหัวผู้นี้เราเคยเห็นมา ตั้งแต่เราจำความได้ จนตัวเรามีอายุแก่ชราจนบัดนี้ ก็ไม่เห็นน่าไชหัวมีรูปร่างผิดไปกว่าแต่ก่อนเลย อย่างไรก็อย่างนั้น ดูเหมือนกับคนอายุสี่สิบปีเท่านั้น เสื้อกางเกงที่สวมใส่ ทั้งเกือกฟางที่หุ้มผ้า ก็สำรับเก่านั้นเอง ช่างน่าประหลาดอัศจรรย์เสียเหลือเกินคนทั้งหลายได้ฟังต่างก็เห็นด้วยดังที่ชายชราพูดนั้น ต่างก็มองแลดูน่าไชหัวด้วยความอัศจรรย์ใจและเคารพ จำเนียรกาลนานมาคราวหนึ่ง น่าไชหัวได้เที่ยวไปตามแนวป่าตำบลหนึ่ง ได้พบกับทิก๋วยลี้ในระหว่างทางต่าง ก็กระทำคำนับสนทนาปราศัยเป็นที่ถูกอัธยาศัยซึ่งกันและกันแล้ว ต่างก็ลาจากกันไป ในตำนานมิได้กล่าวไว้ว่าทั้งสองได้สนทนาเรื่องอะไรกันบ้าง มาวันหนึ่ง เป็นเพลาตกเย็น อากาศแจ่มใน น่าไชหัวกำลังนั่งเสพสุราอยู่ในร้านขายสุราบนสะพานคูเมือง พอได้ยินเสียงมโหรีดังไพเราะมาจากอากาศเบื้องบน บรรดาฝูงคนชาวเมืองตลอดจนเจ้าของร้านสุราต่างก็พากันออกไปแหงนดู เมื่อน่าไชหัวเห็นผู้คนกำลังเพลิน มิได้เอาใจใส่แก่ตัวเช่นนั้นเห็นเป็นโอกาสอันดี ก็เดินออกจากร้านสุราโยนกรับขึ้นไป กรับก็กลายเป็นนกกะเรียนใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้า น่าไชหัวก็ขึ้นขี่หลังนกกะเรียน บินเข้ากลีบเมฆหายไป เสียงมโหรีก็พลอยหายไปด้วยเจ้าของร้านสุราและเหล่าประชาชนเห็นดังนั้น ต่างก็พากันเข้าไปดูในร้าน เห็นแต่เสื้อกางเกงสีเขียวและรองเท้าฟางกองอยู่ แต่พอเข้าไปใกล้ของเหล่านั้นก็กลายเป็นหยกแล้วอันตรธานหายไป คนทั้งหลายจึงรู้ว่าน่าไชหัวได้สำเร็จเป็นเซียนไปแล้ว จึงพากันคำนับกระทำความเคารพ น่าไชหัวได้ไปกับทิก๋วยลี้เป็นเซียนในลำดับที่ห้าในคณะโป๊ยเซียน
เซียนองค์ที่ 4
ครั้งดึกดำบรรพ์หลายหมื่นปี มีค้างคาวเผือกใหญ่ตัวหนึ่ง สูบกินแสงอาทิตย์และแสงจันทร์เป็นอาหารอยู่หลายพันปี มีความสำรวมมัธยัสถ์ สงบภาวนาจนได้กลายร่างเป็นคนชรา แต่ผิวพรรณผ่องใสแข็งแรง ได้ทำถ้ำอาศัยอยู่ ณ กลางเขาตงเตี่ยว แขวงเมืองเฮ่งจิว ต่อนาน ๆ จึงจะเข้าเมืองสักครั้งหนึ่ง คนทั้งหลายที่พบปะ ก็เรียกขนานนามแกว่า เจียงกั๋วเล้า แปลว่าผู้ชนะความแก่ ซึ่งแกฟังแล้ว ก็ยิ้มผงกศีรษะยอมรับรองในชื่อนั้น ดังนั้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แกก็ได้ชื่อว่า เจียงกั๋วเล้า ด้วยประการฉะนี้ เจียงกั๋วเล้ามีฬาเผือกผู้ เป็นพาหนะอยู่ตัวหนึ่ง แต่มิใช่เป็นสัตว์มีชีวิตอย่างธรรมดา หากเป็นสัตว์พาหนะที่สำเร็จด้วยผ้าวิเศษ เวลาไปไหนมาไหนเสร็จธุระแล้ว แกก็เก็บพับไว้ ถ้าจะไปแห่งใด ก็หยิบเอาฬาออกมาคลี่แล้วพ่นด้วยน้ำ ฬาก็จะเป็นตัวยืนหยัดขึ้น เป็นพาหนะขับขี่ไป แต่อาการที่ขี่ฬาของเจียงกั๋วเล้าผิดธรรมดาสามัญ คือหันหน้าไปทางก้นฬา มีชายชราในเมืองนั้นคนหนึ่งบอกว่า แกได้เห็นเจียงกั๋วเล้าตั้งแต่จำความได้จนป่านนี้ ก็เห็นเจียงกั๋วเล้าเป็นอยู่อย่างนี้ไม่เห็นว่าจะแก่เฒ่าไปกว่าเก่าเลย มีคนถามเจียงกั๋วเล้าว่า ท่านอาจารย์มีอายุเท่าใด เจียงกั๋วเล้าก็จะตอบว่า เห็นจะหลายร้อยปีกระมัง ในระหว่างแผ่นดินพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ และพระเจ้าถังเกาจงฮ่องเต้ ซึ่งตรงกับ พ.ศ.1170 ถึง พ.ศ. 1226 กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ได้เคยทรงมีพระบรมราชโองการ ให้เชิญเจียงกั๋วเล้าไปเฝ้าหลายครั้ง เจียงกั๋วเล้าก็มิได้ไป ด้วยไม่มีความประสงค์จะเฝ้าแหน อันคับคั่งจอแจไปด้วยขุนนางข้าราชการและผู้คนมากหน้าหลายตา แต่การขัดรับสั่งมิไปเฝ้านั้น มิใช่ขัดอย่างอวดดีดื้อดึง แต่ทำมารยาเป็นเจ็บหนักบ้าง บางทีพอขุนนางที่ไปเชิญตัวเข้าไปถึงถ้ำที่พัก เจียงกั๋วเล้าก็เลยทำเป็นตายตัวแข็งทื่อไปเลย ครั้นมาในแผ่นดินพระนางบูเซ็กเทียน ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 1233 ถึง 1255 ได้ทรงมีพระราชเสาวนีย์ไปนำตัวเจียงกั๋วเล้าเข้าเฝ้า แต่พอขุนนางที่ไปนำตัวมาพอถึงศาลเจ้าโกวเนี๊ยทางเข้าประตูเมือง เจียงกั๋วเล้าก็เกิดเป็นอันเป็นลมลง สิ้นใจตายทันที ทั้งเวลานั้นเป็นเวลาฤดูร้อนจัดศพเลยขึ้นอึดเน่าเป็นหนองส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่ว พวกขุนนางเหล่านั้นต่างก็มีความตกใจรีบกลับไปถวายทูลให้พระนางบูเช็กเทียนทรงทราบ แต่จากนั้นไม่กี่วัน ก็มีคนเห็นเจียงกั๋วเล้าขี่ฬาเผือกเดินเที่ยวอยู่ตามชายป่า จึงเป็นที่รู้กันว่าเจียงกั๋วเล้ายังไม่ตาย ครั้นต่อมาประมาณ พ.ศ. 1274 ศักราชที่ 23 เป็นสมัยคายหงวน แต่ยังเป็นแผ่นดินแห่งราชวงศ์ถังเป็นรัชกาลพระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ ได้ทรงโปรดให้ป้วยหงอขุนนางผู้ใหญ่ เชิญพระราชสาส์นให้เจียงกั๋วเล้ามาเฝ้า ป้วยหงอไปถึงเมืองเฮ่งจิว สืบหาเจียงกั๋วเล่าจนพบ แต่พอคำนับยังไม่ทันจะสนทนาปราศัยกัน เจียงกั๋วเล้าก็เกิดเป็นลมล้มลงชักพราด ๆ ตายไปต่อหน้าต่อตา แต่ป้วยหงอเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ยังไม่ถึงกับตกใจเสียสติ เมื่อเห็นเช่นนั้นก็จุดธูปเทียนบูชาศพแล้ว คลี่พระราชสาส์นออกยืนอ่าน เจียงกั๋วเล้าก็ค่อยรู้สึกฟื้นขึ้นทีละน้อยจนลุกนั่งได้ แต่ไม่พูดจาว่าอะไร คงนิ่งเป็นใบ้อยู่ฉะนั้น ป้วยหงอเห็นว่าไม่อาจที่จะบังคับอย่างไรได้ จึงกระทำคำนับกลับไปเมืองหลวง กราบทูลพฤติการณ์ให้พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ก็ยังไม่ทรงละความพยายาม ได้ทรงให้หยูลูตงขุนนางผู้ใหญ่อีกคนหนึ่ง มีตำแหน่งเป็นฝ่ายที่ปรึกษาเชิญพระราชสาส์นออกไปเชิญเจียงกั๋วเล้าอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เจียงกั๋วเล้าก็เป็นอันจนปัญญาสุดที่จะหลีกเลี่ยงได้ เพราะเห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงมีพระราชศรัทธาและทรงนับถือย่างแท้จริง จึงได้เดินทางมาเฝ้า พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ ทรงพระปิติปราโมทย์ยิ่งนัก ทรงกระทำสักการะแล้วทรงโปรดให้พัก ณ ตำหนักจิบเฮียนอี้ อันเป็นสถานที่ประจำตำแหน่งราชปุโรหิตผู้ใหญ่ มีข้าคนคอยปฏิบัติใช้สอยไม่บกพร่อง บรรดาเหล่าพวกขุนนางข้าราชการทุกชั้นทุกฝ่าย ต่างก็ได้หมั่นไปมาคำนับกราบไหว้เยี่ยมเยียนอยู่มิได้ขาด วันหนึ่ง ขณะเจียงกั๋วเล้านั่งเฝ้าหน้าพระที่นั่งกิมล่วนเต้ย พร้อมด้วยขุนนางทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในเป็นอันมาก พระเจ้าถังเม่งจงได้ทรงรับสั่งถามในกิจการปฏิบัติของเซียนว่า มีอยู่อย่างไร เจียงกั๋วเล้าก็นิ่งเสีย มิได้ทูลตอบประการใด แล้วครั้นกลับมาถึงที่พักก็นั่งระงับนิ่งตลอดทั้งวันมิได้บริโภคข้าวน้ำแต่อย่างใด อยู่ต่อมาพระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ได้ทรงประทานสุราอย่างดีต่อหน้าพระที่นั่ง เจียงกั๋วเล้าจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเสพสุราไม่มาก แต่ศิษย์น้อยของข้าพเจ้าคนหนึ่ง สามารถดื่มสุราได้ครั้งละถัง พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น ก็ใคร่จะทรงทอดพระเนตรจึงรับสั่งให้พาเข้าเฝ้า แต่ยังมิทันผู้รับกระแสรับสั่งจะออกไป ก็พอดีเองย้งน้อยน่าเอ็นดูคนหนึ่ง ลอดช่องมู่ลี่บานพระแกลก้าวลงมาถวายคำนับ พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ได้ทรงเห็นเองย้งน้อย น่ารักเช่นนั้น ก็ทรงพระปราณีทรงรับสั่งให้นั่ง เจียงกั๋วเล้าจึงว่า ศิษย์ของข้าพเจ้าได้ยืนเฝ้าพระองค์เช่นนี้ ก็นับว่าเป็นบุญหนักหนาแล้ว การที่จะนั่งนั้นยังไม่สมควร พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ก็มิทรงขัดประการใด และได้ทรงประทานสุรารสเข้มให้เองย้งน้อยดื่มหนึ่งถัง พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็มีรับสั่งให้เอาสุรามาเติมให้อีก เจียงกั๋วเล้าจึงทูลว่า ศิษย์ของข้าพเจ้าดื่มได้เพียงถังเดียวเท่านั้น ถ้าให้ดื่มมากเกินขนาดแล้ว ก็จะทำให้น่าเกลียดคนจะหัวเราะได้ พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ ก็ไม่ฟัง ทรงสั่งให้เองย้งน้อยดื่มอีกหนึ่งถัง เองย้งน้อยดื่มสุราเกินกำลังจนกลางกระหม่อมทะลุ น้ำสุราไหลออกมาพรั่งพรู แล้วล้มลง กลายเป็นถังทองคำกลิ้งอยู่กลางท้องพระโรง พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้พวกขุนนางพิจารณาดูว่า ถังนั้นเป็นถังทองคำอะไร ก็ได้ความว่า ถังทองคำนั้นเป็นถังสุราที่ทรงพระราชทานเลี้ยงในตำหนักจิบเฮียนอี่ ในคราวที่ทรงต้อนรับเจียงกั๋วเล้า พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ชอบพระทัย ทรงพระสรวล แล้วทรงขอร้องให้เจียงกั๋วเล้าแสดงอิทธิฤทธิ์บางอย่างถวายทอดพระเนตร เจียงกั๋วเล้าก็มิขัด ได้ภาวนาเรียกพญาหงษ์และเหล่านกน้อยใหญ่นับจำนวนเป็นอันมาก มาบินวนร่อนร้องขับประสานรอบพระที่นั่ง ต่อจากนั้นก็นฤมิตต้นไม้หอมนานาชนิดให้งอกขึ้นผลิดอกออกผล หอมฟุ้งไปทั่วบริเวณพระราชวัง พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้จะทรงทอดพระเนตรอะไร เจียงกั๋วเล้าก็บันดาลด้วยอิทธิฤทธิ์ถวายให้ทุกประกา รครั้นพอเข้าฤดูหนาวจัด พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ก็ทรงประทานสุราชั้นปานกลางให้แก่เจียงกั๋วเล้า ๆ ดื่มแล้วรุ้สึกว่าคอแห้งและมึนเมา ทำให้อ่อนเพลียก็รู้ว่าไม่ใช่สุราดี จึงหดคอดูดฟันในปากออกดูเห็นแห้งจวนจะเปราะ จึงให้คนใช้ไปหายายู่อี้มากำมือหนึ่งบดผสมกับตัวยาในถุงแล้ว เอาถูฟัน ในไม่ช้าฟันก็กลับแน่นแข็งแรงและขาวดุจทำด้วยหยก วันหนึ่ง พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้เสด็จประพาสป่าพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ได้กวางใหญ่มาตัวหนึ่ง รับสั่งให้ฆ่า เพื่อทำพระอาหารเสวย แล้วเลี้ยงข้าราชการ ขณะนั้นเจียงกั๋วเล้าได้เฝ้าอยู่ด้วย จึงทูลว่า กวางตัวนี้เป็นสัตว์พาหนะของเซียนชั้นผู้ใหญ่ มีอายุจนถึงบัดนี้ได้พันปีเศษในสมัยง่วนซิว อันเป็นปีที่ ๕ ในรัชกาลของพระเจ้าบูเต้ทรงเสด็จประพาสอุทยาน ก็ได้จับกวางตัวนี้ได้เช่นเดียวกัน และได้ทรงโปรดให้ปล่อยเสีย พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ ทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรม ขอจงทรงพระมหากุศลผลบุญ และทั้งจะเป็นพระคุณแก่กวางและท่านผู้เป็นเจ้าของกวางตัวนี้อย่างหาที่สุดมิได้ พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นจึงตรัสว่า ตั้งแต่ครั้งสมัยรัชกาลพระเจ้าบูเต้มาจนบัดนี้ เป็นเวลานานนักหนาราชวงศ์กษัตริย์ผู้ครองแผ่นดินก็ได้เปลี่ยนไปมาหลายต่อหลายราชวงศ์แล้ว ท่านอาจารย์มีหลักฐานสำคัญประการใด จึงจะรู้แน่ว่ากวางตัวนี้เป็นตัวเดียวกันกับตัวที่ถูกจับในสมัยนั้น เจียงกั๋วเล้าจึงทูลว่า เมื่อพระเจ้าบูเต้ได้ทรงโปรดให้ปล่อยกว่างตัวนี้นั้น ได้ทรงโปรดให้ทำป้ายแผ่นทองเหลือง ติดรัดไว้ที่เขากวางข้างขวาป้ายหนึ่ง พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ก็ทรงมีรับสั่งให้พวกขุนนางช่วยกันตรวจดูก็เห็นป้ายทองเหลืองวัดโดยรอบยาวได้สองนิ้ว ติดอยู่ที่เขาเบื้องขวาป้ายหนึ่งสมจริง แต่อักษรที่จารึกนั้นลบเลือนหมดมิรู้ข้อความว่าประการใด พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้จึงมีรับสั่งถามว่า ท่านอาจารย์พอจะรู้ไหมว่าปีนั้นเป็นปีอะไร นับมาจนถึงสมัยเรานี้ได้สักกี่ร้อยปี เจียงกั๋วเล้าจึงทูลว่า ข้าพเจ้าได้ทราบมาว่าปีนั้นเป็นปีกุญสัมฤทธิศก นับมาจนถึงบัดนี้ได้แปดร้อยห้าสิบสองปี พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้จึงให้โหรช่วยตรวจสอบทางดูก็เป็นการถูกต้องทุกประการนับแต่บัดนั้นมา พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ก็ทรงเคารพเชื่อถือเจียงกั๋วเล้าเป็นอันมาก แต่ยังมิทรงทราบว่าเจียงกั๋วเล้านั้น มีอายุมากน้อยเท่าใด ในครั้งนั้น ยังมีนักบวชคนหนึ่ง ชื่อเอียบฮวนเสียน เป็นชาวเมืองเกียหัว เป็นคนมีนิสัยมักน้อย รักความสงบไม่มีครอบครัวลูกเมีย ถือศีลกินเจประพฤติปฏิบัติตนเป็นเต้าหยิน ท่องเที่ยวหลบบำเพ็ญหาความวิเวกไปตามซอกถ้ำป่าเขา มาวันหนึ่ง เอียบฮวบเสียนได้ท่องเที่ยวไปถึงตึกร้างโบราณที่เขาแป๊ะเบ๊ พบเซียนผู้สำเร็จสองคน จึงได้สมัครเข้าเป็นศิษย์ได้อุตสาหะเล่าเรียนวิชา ปฏิบัติอาจารย์ทั้งสองจนมีวิชาชำนิชำนาญ จึงออกเที่ยวทำการปราบปีศาจที่ดุร้ายตามชนบทหัวเมืองและอำเภอใหญ่น้อยให้ได้รับความร่มเย็นจนเป็นที่เลื่องลือ พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ทรงทราบ ก็มีรับสั่งให้หาตัวมาเข้าเฝ้า ณ เมืองหลวง จะทรงแต่งตั้งให้เป็นที่ปุโรหิต แต่เอียบฮวบเซียนกราบทูลว่า ข้าพเจ้ารู้ตัวว่าบุญมิถึงตำแหน่งนั้น มีวาสนาเพียงแต่อยู่ตามถ้ำป่าเขา มีกำลังวิชาเพียงแต่ปราบปีศาจเท่านั้น อันจะทรงแต่งตั้งให้เป็นขุนนางมียศศักดิ์นั้น เห็นว่าจะรับพระกรุณามิได้ พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ก็มิทรงขัดขืนหรือบังคับแต่ประการใด แต่ทรงโปรดให้พำนักอยู่ในเมืองหลวง มิต้องท่องเที่ยวต่อไป เพื่อจะได้ทรงพบปะเมื่อมีกิจธุระบางประการ อยู่มาวันหนึ่งในท้องพระโรงที่เสด็จออกขุนนาง ในวันนั้นเจียงกั๋วเล้ามิได้เข้าเฝ้า พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้เห็นเป็นโอกาส จึงทรงรับสั่งถามเอียบฮวบเสียนว่า ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่า ท่านอาจารย์เจียงกั๋วเล้าเป็นคนหรือว่าเป็นเซียนผู้สำเร็จ และมีอายุมากน้อยสักเท่าใด เอียบฮวบเสียนกราบทูลว่า ถ้าข้าพเจ้าจะกราบทูลเล่าประวัติของท่านอาจารย์เจียงกั๋วเล้าถวายตามที่ทรงรับสั่งถามแล้ว ข้าพเจ้าก็จักได้รับโทษอันตรายอันน่าสพึงกลัว แต่ถ้าพระองค์จะทรงช่วยชีวิตข้าพเจ้าแล้ว ก็ขอได้ทรงถอดพระมาหามงกุฏและฉลองพระบาท เข้าไปหาท่านอาจารย์เจียงกั๋วเล้าแล้วทรงวิงวอนขอโทษแทนข้าพเจ้าด้วยความเคารพ ข้าพเจ้าจึงจะพ้นจากโทษอันตรายอันร้ายแรงนั้น แล้วชีวิตจักกลับคืนมา พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ก็ทรงรับรองว่า จะปฏิบัติให้ตามนั้น เอียบฮวบเสียนจึงกราลทูลเล่าถึงชาติกำเนิดของเจียงกั๋วเล้าว่า ในกาลยุคดึกดำบรรพ์หลายหมื่นปี มีค้างคาวเผือกใหญ่ตัวหนึ่งอาศัยอยู่บนยอดเขา เสพแต่แสงพระอาทิตย์และพระจันทร์เป็นอาหารอยู่หลายพันปี จนมีร่างเป็นกายสิทธิ์ กลายเป็นมนุษย์ ถึงพร้อมด้วยพระเวทย์ คือท่านอาจารย์เจียงกั๋วเล้าผู้นี้ พอสิ้นคำ ยังมิทันจะกล่าวคำใดอื่นต่อไป เอียบฮวบเสียนก็เป็นอันเป็นผงะ หงายหลังผลึงลงกลางพื้นท้องพระโรง โลหิตไหลพรั่งพรูออกจากทวารทั้งเก้า นองไปทั่วพื้นสลบแน่นิ่ง พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นก็ตกพระทัย รีบเสด็จไปหาเจียงกั๋วเล้าถึงตำหนักจิบเฮียนอี้ ทรงถอดพระมหามงกุฏและฉลองพระบาท คุกพระชงฆ์กระทำความเคารพ แล้วทรงวิงวอนขออภัยโทษให้แก่เอียบฮวบเสียน เจียงกั๋วเล้าจึงว่า เต้าหยินคนนี้โอหังบังอาจอวดรู้ ถ้าไม่ลงโทษเสียบ้างก็จะเคยตัว ต่อไปเบื้องหน้า ก็จะเที่ยวเก็บเอาประวัติกำเนิดของเทพยดาอารักษ์ออกเที่ยวบรรยายหากิน พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ก็ทรงกราบไหว้วิงวอนอยู่ช้านาน เจียงกั๋วเล้าจึงยกโทษถวาย แล้วตามเสด็จไปยังที่เอียบฮวบเสียน นอนสลบจมกองโลหิตอยู่ เอาน้ำพ่นไปทั่วตัวครู่หนึ่งก็ฟื้นลุกขึ้นนั่ง เจียงกั๋วเล้าก็เอาน้ำที่เหลือนั้นให้กิน ก็กลับได้สติเป็นปกติมีกำลังดังเก่า ลุกขึ้นคุกเข่ากราบลุแก่โทษที่ได้บังอาจล่วงเกิน พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ทรงเห็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของเจียงกั๋วเล้าประจักษ์ชัดเช่นนั้น ก็หมดความกังขาสนเท่ห์ในพระทัย ทรงมีความปราโมทย์เคารพนับถือ เจียงกั๋วเล้ายิ่งนัก ทรงแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งชั้นมหาโยคีซงเหียน และรับสั่งให้ช่างภาพ วาดภาพเจียงกั๋วเล้าเท่าตัวจริง ติดไว้ ณ ตำหนักจิบเฮียนอี้ เพื่อเป็นที่เคารพสักการะ อยู่ต่อมาเจียงกั๋วเล้าได้ทูลถึงโรคภัยที่เบียดเบียน ขอทูลลากลับไปเมืองเฮ่งจิวเป็นหลายครั้ง จึงทรงอนุญาตให้เป็นไปตามประสงค์ กับทั้งได้พระราชทานแพรสามม้วนและรถหนึ่งคันพร้อมกับคนลากรถสองคน เจียงกั๋วเล้าถวายพระพรลาขึ้นรถ เดินทางกลับไปยังเมืองเฮ่งจิว ครั้นถึงแล้ว ให้คนรถกลับเมืองหลวงเสียคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งพาไปอยู่ ณ สำนักเขตตงเตี๋ยวด้วย ครั้นอยู่มาถึงศักราชเทียนบ๊อ ตรงกับปี พ.ศ. ๑๒๘๕ พระเจ้าถังเม่งจงทรงมีความระลึกถึง รับสั่งให้หาเจียงกั๋วเล้าเข้าเฝ้า แต่เจียงกั๋วเล้าเกิดเป็นโรคปัจจุบันถึงแก่ความตาย คนลากรถที่อยู่ปฏิบัติก็จัดการเอาศพใส่หีบ แต่ครั้นถึงเวลาที่จะทำพิธีฝังได้เปิดออกดู ก็เห็นแต่หีบเปล่า ไม่มีร่างเจียงกั๋วเล้าอยู่ในนั้น จึงเลยฝังทั้งหีบเปล่า ๆ นั้น เหตุที่เป็นดังนี้ ก็เพราะลีเล่ากุนได้รับเจียงกั๋วเล้า เข้าเป็นเซียนลำดับที่สี่ในคณะโป๊ยเซียน เซียนองค์ที่ 3

เซียนองค์ที่ 2
