วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เซียนองค์ที่ 2


เซียนองค์ที่ 2 ฮั้นเจงหลี
ในสมัยรัชกาลแห่งราชวงศ์ฮั่น ระหว่างปี พ.ศ. 337 ถึง พ.ศ. 376 ณ จวนเจ้าเมืองหุนตัง ได้เกิดมีแสงสว่างจ้าไปทั้งจวน ผู้คนชาวเมืองต่างตกใจคิดว่าไฟไหม้ จึงรีบพากันวิ่งไปเพื่อจะช่วยดับ แต่พอไปถึง ก็ไม่เห็นมีอะไร แต่ในขณะนั้นเป็นเวลาที่ฮูหยินภรรยาเจ้าเมือง ได้คลอดบุตรเป็นชาย รูปร่างล่ำใหญ่ผิดเด็กอ่อนธรรมดาสามัญ หน้าผากกว้าง ขนคิ้วดก ตายาว หูยาน จมูกใหญ่ ปากกว้างเจ้าเมืองผู้บิดาให้ชื่อลูกชายของตนว่า เจงหลีกั๊ก เกิดมาหกวันไม่ร้อง ไม่กินนมเหมือนเด็กทั้งปวง แต่พอวันที่เจ็ดจึงร้องและพูดว่า อันตัวเรานี้อยู่บนสวรรค์ แต่ปรากฏชื่อไปทั่วทิศ บิดามารดาได้ยินบุตรของตนพูดได้เช่นนั้น ก็ให้พิศวงอัศจรรย์ใจ คิดว่าเป็นศุภนิมิตมงคงอันวิเศษ ส่วนเจงหลีกั๊กนั้นเมื่อเติบใหญ่ขึ้น ก็มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เล่าเรียนหนังสือและตำราพิชัยสงคราม ทั้งฝึกหัดเพลงอาวุธก็เชี่ยวชาญว่องไว ต่อมาเมื่อท่านเจ้าเมืองผู้บิดาเห็นว่า ลูกชายมีอายุพอจะรับราชการได้แล้ว ก็ได้ส่งตัวให้เข้าไปรับราชการในเมืองหลวง เจงหลีกั๊กก็ได้เข้ารับราชการเป็นนายทหาร ครั้งนั้น ทางเมืองโทวฮวนได้ยกทัพบุกรุกตีเมืองด่านรายทางเข้ามา หัวเมืองด่านต่าง ๆ ก็ได้มีใบบอกเข้ามายังเมืองหลวง ฮ่องเต้ทางเมืองหลวงก็ทรงมีรับสั่งให้จัดกองทัพ คัดเลือกผู้ที่มีสติปัญญาและฝีมือ ที่สมควรจะเป็นแม่ทัพออกไปปราบปรามได้ ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ประชุมพิจารณาเห็นพร้อมกัน ที่จะตั้งเจงหลีกั๊กเป็นแม่ทัพใหญ่ เพราะเป็นผู้มีสติปัญญาและกำลังฝีมือเป็นที่ไว้วางใจได้ ฮ่องเต้าก็ทรงเห็นชอบ จึงทรงแต่งตั้งให้เจงหลีกั๊กเป็นไต้ง่วนส่วยเป็นแม่ทัพใหญ่ คุมพลยี่สิบหมื่นออกไปทำการปราบปรามพวกโทวฮวนครั้งนี้ เจงหลีกั๊กเมื่อได้รับแต่งตั้งแล้ว ก็ได้เรียกประชุมพลพร้อมด้วยอาวุธยุทธโธปกรณ์พร้อมสรรพ์ แล้วจึงกล่าวแก่บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่า การที่จะยกกองทัพออกไปปราบปรามพวกโทวฮวน ขอท่านทั้งหลายจงตั้งใจรับราชการ เพื่อป้องกันรักษาบ้านเมืองให้เป็นผลสำเร็จอย่าได้มีใจโลเลย่อท้อเลย ขอจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกำจัดข้าศึกให้พินาศพ่ายแพ้ไปโดยเร็วเถิด จึงจะสมศักดิ์ที่ได้เกิดมาเป็นชายชาติทหาร ที่ยอมเสียชีวิตเพื่อรักษาแผ่นดิน ส่วนผู้ที่ได้มอบกายเข้ามาเป็นพลทหารนั้นเล่าถ้าไม่มีใจห่วงใยทางหลังแล้ว ก็จะทำให้การเข้าต่อสู้ได้เป็นไปอย่างสุดกำลัง ไม่ห่วงใยในชีวิตตัว หวังแต่ความมีชัยเพื่อเป็นเกียรติแก่ตัวเป็นที่ตั้ง ครั้งแล้วเจงหลีกั๊กได้แต่งตั้งนายทหารทั้งปวง ให้เข้ารับตำแหน่งหน้าที่เป็นทัพหน้า ทพหลัง ปีกซ้าย ปีกขวา เป็นนายหมวดนายกองตามลำดับความสามารถ ครั้งเสร็จแล้วก็จุดประทัดเอาฤกษ์ยกออกจากเมืองหลวง การยกทัพครั้งนี้ มีพวกขุนนางทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย พร้อมทั้งพวกราษฏรพากันไปส่งเป็นอันมากแน่นถนนสองฟากจนถึงประตูเมือง ได้มีคำฉันท์ที่ไปส่งกองทัพในครั้งนั้น ได้แต่งไว้เพื่อเป็นเกียรติแก่เจงหลีกั๊กมีปรากฏดังนี้
ขุนพลเคลื่อนพหลขับ หมายสับริปูสลาย
อาวุธส่องแสงพราย ดุจะลายอสุนีย์
อริฮวนจุ่งพ่ายพัง พินาศฝั่ง ณ ปฐพี
กระจายกราดปลาดหนี บ่มิผินมาต่อกร
ขอจุ่งท่านจอมพล ฤทธิดลขจายจร
เรืองเดชสถาพร อนุสรณ์ตลอดกาล ฯ
เจงหลีกั๊กยกพลรอนแรมมาหลายวัน ก็ลุถึงเมืองกิจุ๊ย จึงตั้งค่ายลงนอกเมือง กองทัพของฝ่ายโทวฮวนนั้นตั้งค่ายอยู่ชายแดนเมือง เจงหลีกั๊กได้ยกทหารเข้าทำการรบพุ่งกับข้าศึกได้ชัยชนะ ตีทัพโทวฮวนแตกยับเยินไพร่พลทั้งนายทหารน้อยใหญ่ล้มตายลงเป็นอันมาก ศพนอนกลิ้งเกลื่อนไปทั่วบริเวณที่รบสุดจะประมาณได้ ขณะนั้นเป็นเวลาที่ทิก๋วยลี้เหยียบเมฆเหาะผ่านมาทางนั้นพอดี ได้กลิ่นซากศพที่ฟุ้งขึ้นมาบน ก็มีความสงสัยเล็งแลลงไปก็เห็นเจงหลีกั๊กแม่ทัพแห่งราชวงศ์ฮั่น กำลังต้อนไพร่พลไล่ฆ่าฟันกองทัพโทวฮวนอยู่อลหม่าน ก็ให้อนาถใจ ครั้นแล้วพลันก็ระลึกถึงคำของท่านลีเล่ากุนผู้อาจารย์ได้ว่าอันตัวแม่ทัพแผ่นดินฮั่นซึ่งกำลังกวัดแกว่งทวน ต้อนทหารของตนเข้าไล่ฆ่าฟันทหารโทวฮวนล้มตายเกลื่อนแผ่นดินนับด้วยหมื่นแสน ด้วยน้ำใจเหี้ยมปราศจากความเมตตาปราณีอยู่บัดนี้ คือ เดิมเป็นเทพดารักษาหอสมุดในเมืองสวรรค์ แต่มีความผิด เง็กเซียนฮ่องเต้จึงลงโทษให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ชื่อเจงหลีกั๊ก บัดนี้ได้มาเป็นแม่ทัพมีฝีมือของราชวงศ์ฮั่น ออกปราบปรามพวกโทวฮวน ทำจิตให้กำเริบดุร้ายฆ่าฟันคนด้วยกันเหมือนกับผักปลา จนกลิ่นฟุ้งขึ้นมาเช่นนี้ดูไม่เป็นการสมควร ทั้งความผิดบนสวรรค์ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่พอที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีกจำเราจะต้องทำการขัดขวางไว้ก่อนพอให้เจงหลีกั๊กหลุดพ้นออกจากวงการรบพุ่งแล้ว ต่อไปก็คงจะมีท่านผู้วิเศษผู้ใดผู้หนึ่งมาเป็นอาจารย์อบรมชักจูงให้พ้นเวรกรรมจากโลกมนุษย์ หันเข้าประพฤติบำเพ็ญเพียรต่อไป เราพิเคราะห์ดูก็สมจริงดังที่ท่านอาจารย์ได้ทำนายไว้ล่วงหน้านั้นทุกประการ เพราะถ้าเป็นแม่ทัพอื่นแล้ว กองทัพโทวฮวนก็คงไม่แตกพ่ายตายยับอย่างนี้ เมื่อคิดดังนั้นแล้ว ทิก๋วยลี้ก็ยังตัวลอยลงยังพื้นดินใกล้กับค่ายโทวฮวน ร่ายเวทย์แปลงเป็นคนชรา ถือไม้เท้าเดินโขยกเขยกตรงไปยังประตูค่าย ฝ่ายปุ่ดยู้แม่ทัพใหญ่โทวฮวน เมื่อยกมานั้น มีไพร่พลทหารถึงสิบห้าหมื่น มีความอิ่มใจที่จะได้ชัยชนะแต่ครั้นมาปราชัยยับเยินเสียทหารล้มตายไปกว่าครึ่งเช่นนี้ก็มีความวิตกเสียใจยิ่งนัก จึงปรึกษากับนายกองทัพทั้งปวงในอันที่จะทำการคิดรับศึกต่อไป ก็พอดีทหารยามเข้ามาคำนับแจ้งว่า มีตาแก่คนหนึ่งจะเข้ามาพบ ปุ่ดยู้จึงคิดว่าตาแก่ที่มานี้ คงจะมิใช่เป็นกลอุบายของข้าศึก แต่ถ้ามีอาการเป็นพิรุธอย่างไรเราก็จะฆ่าเสีย คิดแล้วจึงสั่งให้ทหารนำตัวเข้ามา ตาแก่ทิก๊วยลี้เข้ามาถึง ก็ยืนคำนับในฐานะผู้สูงอายุ ไม่คุกเข่าอย่างคนธรรมดาสามัญกระทำ ปุ่ดยู้พิจารณาเห็นท่วงทีกิริยาของตาแก่ มิใช่คนธรรมดาสามัญ จึงคำนับตอบแล้วถามว่า ท่านผู้เฒ่ามีกิจสิ่งใดจึงมาหาข้าพเจ้าถึงค่าย ทิก๋วยลี้จึงว่าข้าพเจ้ามานี้ ก็เพื่อมาแสดงความยินดีในชัยชนะของท่าน ปุ่ดยู้จึงว่า ก็ข้าพเจ้าแตกทัพยับเยินมาเดี๋ยวนี้ ซ้ำทหารก็บอบช้ำอย่างท่านก็เห็นอยู่ ที่ท่านมาพูดนี้ มิเป็นการมาเยาะกันเล่นหรือ ทิก๋วยลี้หัวเราะแล้วจึงว่า ท่านแม่ทัพไม่เข้าใจอันธรรมดาการสงครามรบพุ่งกันนั้น การแพ้และชนะย่อมเป็นธรรมดา อุปมาดังเล่นหมากรุก ซึ่งท่านไม่ควรวิตกทุกข์ร้อนวุ่นวายใจอย่างไร หมากรุกกระดานของท่านนัดนี้ เป็นแต่เพียงเบี้ยเม็ดถูกกินกระจัดกระจายไปเท่านั้น ส่วนตัวขุนและโคนม้าเรือยังบริบูรณ์อยู่ แต่คราวนี้ข้าพเจ้าว่า เราจะเดินแต้มของเราให้กระดานฝ่ายโน้นถึงกับขุนโคนแตกเพริดไปทีเดียว ข้าพเจ้าจะบอกอุบายให้ถ้าท่านเชื่อข้าพเจ้า ในค่ำคืนวันนี้ให้ท่านรวบรวมไพร่พลยกเข้าปล้นค่ายของเจงหลีกั๊ก ก็จะแก้การพ่ายแพ้ของท่านให้กลับมีชัยชนะได้ เหตุด้วยกองทัพฮั่นมีชัยในการรบใหญ่ย่อมจะมีความประมาท เลี้ยงดูกันเอิกเกริกขาดความระมัดระวัง เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงว่า ถ้าท่านยกเข้าปล้นค่ายเจงหลีกั๊กในคืนนี้แล้ว ก็จะได้ชัยชนะเป็นแน่ ทิก๋วยลี้พูดเท่านั้น แล้วก็ลากลับเดินออกจากค่ายไป พอตาแก่ทิก๋วยลี้กลับไปแล้ว ปุ่ดยู้ก็นิ่งตรึกตรองคำที่แนะนำ เห็นถูกต้องกับตำราพิไชยสงครามก็เห็นชอบจึงสั่งให้นายทหารทั้งปวง ให้คุมไพร่พลแยกออกเป็นสี่กองยกออกไปซุ่มอยู่ใกล้ค่ายข้าศึก ถ้าเห็นแสงไฟโพลงขึ้นเมื่อใด ก็ให้ขับทหารระดมเข้าตีค่ายข้าศึกจงพร้อมกันทั้งสี่ด้าน แต่นายทหารคนหนึ่งชื่อปิดฮุด ได้พูดท้วงขึ้นว่าแม่ทัพฮั่นคนนี้มีปัญญาลึกซึ้ง ข้าพเจ้ายังสงสัยถ้อยคำของชายแก่คนนั้นว่า จะเป็นกลศึก พอปุ่ดยู้ขยับปากจะพูดก็พอดีทหารประตูค่ายมาบอกว่า ตาแก่คนนั้นพอไปถึงประตูค่ายก็หายไป ปุ่ดยู้ได้ฟังดังนั้น ก็มีความยินดีนักจึงว่ากับปิดฮุดว่า พระบารมีของเจ้านายเรายิ่งนักแล้ว จึงได้บันดาลให้เทพดามาบอกอุบายให้เราได้ชัยชนะ ท่านอย่ามีความสงสัย จงรีบลงมือทำการโดยเร็วเถิด แล้วสั่งให้นายทัพนายกองทั้งปวง ให้ไพร่พลกินอาหารให้เสร็จก่อนพลบนี้ แล้วให้รีบยกออกไป คอยสังเกตดูสัญญาณตามที่ได้สั่งไว้ต่อไป ฝ่ายเจงหลีกั๊ก ครั้นได้ชัยชนะครั้งใหญ่ ตีทัพโทวฮวนแตกพ่ายยับเยินไปเช่นนั้น ก็มีความยินดียิ่งนัก ให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ แล้วปูนบำเหน็จรางวัลแก่นายทัพนายกองโดยทั่วหน้า แล้วสั่งสุราอาหารเลี้ยงไพร่พลอย่างสนุกร่าเริงจนเวลาล่วงเข้าสองยาม ขณะนั้นบั่งกี๊นายทหารเอกได้เข้ามาเตือนเจงหลีกั๊กว่า ข้าพเจ้าเกรงว่า ในคืนวันนี้น่ากลัวฝ่ายโทวฮวนจะย้อนกลับมาทำการปล้นค่าย เพราะยังมิได้พ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง ขอให้ท่านจงพิเคราะห์พิจารณาดู เจงหลีกั๊กได้ฟังจึงว่า เราได้สั่งพวกนายทหารทุกหมวดกองในค่ายหลวง ให้ทำการรักษาหน้าที่อยู่ยามตามไฟโดยกวดขันแล้ว แต่เพื่อให้เป็นที่วางใจ ขอท่านจงไปสั่งกำชับให้นายหมวดนายกองเหล่านั้นให้เพิ่มความระมัดระวังให้เข้มงวดทุกค่าย อย่างเห็นแก่หลับนอน บั่งกี๊ก็ออกไปปฏิบัติตามคำสั่งทุกประการ แต่ด้วยอำนาจของทิก๋วยลี้ได้เป่าคาถาให้ไพร่พลในกองทัพฮั่นหลับสนิทหมดทุกค่ายแล้วก็บันดาลให้เพลิงไหม้เกิดขึ้นที่หลังค่ายใหญ่ เป่าลมให้กระพือพัดจนลุกลามไหม้ไปทั่วทุกค่าย พวกทหารมีความตกใจ ตื่นขึ้น ช่วยกันดับไฟเป็นอลหม่าน กองจุดเพลิงของปุ่ดยู้มาถึง ก็ซ้ำเข้าวางเพลิงจุดซ้ำเข้าไปอีก ไฟเลยลุกลามขนานใหญ่สุดที่จะดับได้ บรรดาทหารฮั่นทุกคนต่างก็มีความตื่นตกใจ พากันแตกหนีไม่คิดต่อสู้ กองซุ่มทั้งสี่ทิศของฝ่ายโทวฮวนครั้นเห็นไฟสัญญาณโพลงขึ้น ต่างก็โห่ร้องเข้าโจมตีพร้อมกัน ปุ่ดยู้ก็ขับม้าควงง้าวนำทหารทุกหมวดกองเข้าทำลายค่ายใหญ่ ส่วนเจงหลีกั๊กก็ขี่ม้าถือทวนขับพลเข้าทำการรบและดับเพลิง แต่ลมกลับโหมกระพือพัด ช่วยให้เพลิงลุกลามใหญ่โตยิ่งขึ้น แสงสว่างดังกลางวัน และเห็นข้าศึกรุมล้อมทั้งสี่ด้านอย่างหนาแน่น เสียงโห่ร้องสนั่นหวั่นไหว จึงตรงเข้ารบพุ่งอย่างตลุมบอน ครั้นพบกับปุ่ดยู้ซึ่งกำลังขับทหารหนุนเนื่องเข้ามาเช่นนั้น เจงหลีกั๊กก็ขับม้าตรงเข้าสู้รบได้สิบเพลง เห็นทหารของตนรวนเรระส่ำระสาย แตกหนีไปคนละทางสองทาง กับทั้งมิรู้กำลังข้าศึกในขณะนั้นว่ามากน้อยเพียงใด จึงเบนม้าผละออกจากที่รบ แต่ก็ยังไม่ทันเพราะข้าศึกดักขวางทางอยู่อย่างมากมาย ทั้งปุ่ดยู้ก็ควบม้าไล่ติดตามมาจวนจะทัน เจงหลีกั๊กก็เร่งกำลังเข้าสู้รบจวนจะเสียที พอดีบั่งกี๊มาทัน ก็ขับทหารเข้ารบพุ่ง กันเอาเจงหลีกั๊กออกพ้นจากที่ล้อมได้ ก็พอดีม้าที่เจงหลีกั๊กขี่ถูกเกาทัณฑ์ล้มลง บั่งกี๊เห็นดังนั้นก็ขับม้าไล่ฆ่าฟันทหารม้าโทวฮวน แย่งได้ม้ามาตัวหนึ่ง ให้เจงหลีกั๊กขี่หนีออกจากที่ล้อมได้ แล้วก็พากันควบม้าจนถึงเชิงเขา เหลียวกลับไปดูค่ายใหญ่ เห็นเพลิงยังโหมติดสว่างแจ้งอยู่ ไพร่พลทั้งหลายก็แตกหนีกระจัดกระจายไปสิ้น คงมีเหลือตามมาประมาณสองร้อยคน เจงหลีกั๊กเห็นแล้ว หวนคิดถึงความพ่ายแพ้ของตน ก็ให้มีความโทมนัสเสียใจยิ่งนัก ร้องขึ้นจนสุดเสียง พลัดตกจากหลังม้าสลบแน่นิ่งไป บั่งกี๊กับทหารต่างช่วยกันนวดเฟ้น จนเจงหลีกั๊กได้สติขึ้นขี่ม้าได้ พอดีทหารโทวฮวนโห่ร้องไล่ติดตามมาทัน บั่งกี๊จึงว่า ขอท่านแม่ทัพจงหลีบหนีไปก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะรอรบรั้งท้ายกับพวกข้าศึกไว้ แล้วจะตามท่านแม่ทัพไปต่อภายหลัง เจงหลีกั๊กรับคำแล้ว ก็ขับม้าหนีเข้าไปตามราวป่าแต่ผู้เดียว ส่วนบั่งกี๊กับทหารทั้งหลายก็หันเข้าทำการสู้รบ จนข้าศึกแตกพ่ายออกไป (เรื่องของเจงหลีกั๊กในครั้งชีวิตมนุษย์ตามต้นฉบับก็จบลงเพียงนี้ ต่อแต่นี้ไปกล่าวถึงทางดำเนินเข้าสู่ความเป็นเซียน) เมื่อเจงหลีกั๊กขับม้ามาแต่ผู้เดียวนั้น ได้เหลียวกลับไปดูแลเห็นแสงไฟเบื้องหลังห่างไกลออกไป มิได้ยินเสียงโห่ร้องก็ค่อยคลายใจ ผ่อนบังเหียนปล่อยให้ม้าเดินไปตามสบาย พลางคิดคำนึงว่า อันตัวเราได้เป็นแม่ทัพของพระเจ้าแผ่นดิน มีอำนาจถืออาชญาสิทธิ์ ควบคุมทะแกล้วทหารมากระทำการรบกับข้าศึกถึงยี่สิบหมื่น หวังที่จะกำจัดข้าศึกอันเป็นศัตรูแผ่นดินให้ราบคาบ ให้บ้านเมืองได้อยู่เย็นเป็นสุข และทำความชอบฝากชื่อเสียงไว้ให้ปรากฏในแผ่นดิน แต่ก็หาสมปรารถนาไม่ ทีแรกก็ดูจะเป็นผลด้วยได้ชัยชนะ แต่ก็เป็นด้วยเคราะห์กรรมความประมาท จึงถูกข้าศึกเผาค่าย เสียทีแตกยับเยินเสียไพร่พลไปเป็นอันมาก ความดีทั้งปวงก็สิ้นลง ได้รับแต่ความอัปยศ ถึงแม้พระมหากษัตริย์จะทรงพระกรุณาไม่ลงพระราชอาชญา เราจะแบกหน้ากลับไปบ้านเมือง ให้เขาหัวเราะเล่นได้อย่างไร เจงหลีกั๊กรำพึงไป พลางขับม้าไป อย่างไม่มีจุดหมายตลอดคืน จนรุ่งสว่าง มิรู้ว่ามาถึงแห่งใดตำบลใด เหลียวมองหาผู้คนที่พอจะไต่ถาม ก็ไม่เห็นมี จึงคงขับม้าต่อไปเรื่อย ๆ อย่างเสี่ยงบุญเสี่ยงกรรม จนกระทั่งพลบค่ำแสงจันทร์สว่าง จะเหลียวไปทางใด ก็ล้วนเป็นป่าทึบเขาสูงทมึน เสียงสัตว์กับเสียงลมดังแซ่ร้องน่าสพรึงกลัว ทำให้ต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น คิดว่านี่ถ้าข้าศึกตามมา เราจะหนีไปอย่างไร ขณะที่นั่งคิดทอดอาลัยบนหลังม้าเรื่อยมานั้น ก็พอเห็นนักพรตนิกายหูผู้หนึ่ง ถือไม้เท้าเดินออกมาจากซอกเขา เจงหลีกั๊กก็ลงจากหลังม้า ประสานมือคำนับด้วยความยินดีแล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นนายทหารของแผ่นดินฮั่น ยกทัพมากำจัดพวกโทวฮวนที่ปลายแดนเมืองกิจุ๊ย เสียทีแก่ข้าศึกแตกหนีหลงมาแต่ผู้เดียว ขอท่านได้โปรดเมตตา ให้ข้าพเจ้าได้พัก ณ สำนักของท่านสักคืนหนึ่ง ต่อรุ่งขึ้นจึงจะขอลาท่าน ออกสืบหากองทหารต่อไป นักพรตหูรูปนั้นก็พยักหน้า แล้วนำเจงหลีกั๊กเดินต่อไปอีกประมาณสามลี้เศษถึงตำบลแห่งหนึ่ง จึงหยุดชี้มือตรงไปข้างหน้า แล้วพูดว่า เบื้องหน้าโน้นเป็นสำนักของท่านอาจารย์ตังฮั่วจินหยินผู้วิเศษ ท่านจงไปนมัสการท่านและขอพักอยู่เถิด ว่าแล้วนักพรตผู้นั้นก็ลาหลีกไป เจงหลีกั๊กผูกบังเหียนม้าไว้กับต้นไม้ แล้วก็ยังยืนมองรีรออยู่ ก็พอได้ยินเสียงคนเดินร้องเป็นบทคำฉันท์โง้วลุด เป็นธรรมภาษิตอันไพเราะว่า เราเนาว์สราญสุข นิระทุกข์เกษมสันติ์ดุจะชาติละดาวัลย์ สะพรั่งจิต ณ แผ่นผาความครุ่นอีกกำหนัด ก็สลัดมินำพาวิเวกและเอกา ดุจะเมฆสิลอยลมผิวะแม้จะลอยล่อง ก็มิข้องอาลัยสมบ่คิดบ่ปรารมย์ บ่มีห่วงอาลัยมีสถิตย์เหนือ ฌ อาสน์เอี่ยม กระจ่างเยี่ยมจรัสศรีครั้นรัตติกาลมี ศศีส่อง ณ แนวไพรแม้พาหิระชน จลาจลและบัลลัยเรามั่นสถิตย์ใน สุกะธรรมะบ่คลอนหากใครมาพบเรา ก็จะแนะจะสั่งสอนชี้ทางอันบวร เสถียรสุขนิรันด์กาล ฯเจงหลีกั๊กจึงคิดว่าผู้ขับคำฉันท์อันไพเราะดั่งนี้ คงจะเป็นนักพรตผู้ทรงศีลและทรงภูมิปัญญาเป็นแน่ ก็มองดูไปทางที่มาของเสียงนั้น มิช้าก็แลเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งสวมเสื้อขนสัตว์สีขาวถือไม้เท้าเดินออกมาจากประตู เข้ามายืนคำนับอยู่ตรงหน้าถามว่า ท่านที่มานี้ชื่อเจงหลีกั๊กเป็นแม่ทัพแห่งแผ่นดินฮั่นใช่หรือไม่ เจงหลีกั๊กได้ยินดังนั้นก็ตกใจจึงคิดว่า ชายชราผู้นี้เป็นผู้วิเศษแน่แล้ว ก็ประสานมือขึ้น คำนับด้วยกิริยาอันนอบน้อมพลางตอบว่า ถูกแล้วท่านชายชรา หรือที่แท้คือตังฮั่วจินหยิน จึงว่าทำไมท่านไม่พัก ณ สำนักโน่นเล่า เจงหลีกั๊กได้ฟังดังนั้น จึงเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นให้ตังฮั่วจินหยินฟัง แล้วกล่าวว่า ขอท่านได้เมตตาให้ข้าพเจ้าได้พักอาศัยสักครั้งหนึ่งเถิด จะมิลืมคุณท่านเลย ตังฮั่วจินหยินก็นำเจงหลีกั๊กเข้าไปในสำนักแล้วจัดอาหารเจมาให้ ขณะที่เจงหลีกั๊กกินอาหารอยู่นั้น ตังฮั่วจินหยินจึงว่า ดังข้าพเจ้าจะว่าให้ท่านฟัง อันลาภยศ สรรเสริญ ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแต่จะหาความแน่นอนมิได้ ดุจก้อนเมฆที่เลื่อนลอยแปรรูปอยู่ในอากาศ ฉะนั้น มนุษย์ชอบก่อเหตุทำสงครามอันร้ายแรง เอาแต่รบราฆ่าฟันก่อกรรมสร้างเวรหาขอบเขตมิได้ ขอให้ท่านจงพิจารณาดูให้ลึกซึ้งสักหน่อย ตั้งแต่กาลโบราณมาจนปัจจุบันนี้ บ้านเมืองประเทศเขตแดนต่าง ๆ ที่มีเจ้าครอง ก็มิใช่ว่าจะเป็นของกษัตริย์ราชวงศ์เดียว ลาภยศเกียรติศักดิ์หรือคำสรรเสริญเยินยอก็มิใช่จะมีแต่บุคคลเดียวสกุลเดียว ย่อมผลัดกันไปเปลี่ยนกันมา เอาเป็นแน่นอนหาได้ไม่ เปรียบประดุจนอนหลับฝันไปแล้วตื่นขึ้น ฉะนั้นข้าพเจ้าได้เล็งเห็นความไม่เป็นแก่นสารของโลกดั่งนี้ จึงได้หลีกเลี่ยงจากความครอบงำเหล่านั้นเสีย ปลีกตัวออกมาอยู่ด้วยความวิเวกสันโดษตามลำพังตน มิเกี่ยวข้องวุ่นวายกับใคร แม้ว่าจะยังมิลุล่วงถึงผลสำเร็จโดยสมบูรณ์ก็ตาม แต่ก็ได้กำจัดเยื่อใย อันเป็นอำนาจของโลกมิให้เข้ามาผูกมัดได้ อันตัวของท่านแม่ทัพเองเล่า ก็ได้ลิ้มรู้สึกในรสเหล่านี้มา นับว่าพอสมควรแล้ว จะมามัวหลงคิดอาลัยอยู่ในลาภยศสรรเสริญสุข อันมิใช่วิสัยของนักปราชญ์ด้วยเหตุอันใด ข้าพเจ้าเห็นไม่เป็นการสมควรเลย จงเอาตัวรอดเสียแต่บัดนี้เถิด เจงหลีกั๊กได้ฟัง ก็นิ่งอยู่มิได้ว่าประการใด ครั้นกินอาหารอิ่มแล้ว ก็ลุกจะเดินออกไปดูม้า ตังฮั่วจินหยินก็ว่าม้าของท่านนั้นเด็กได้จูงไปปล่อยให้กินหญ้าอยู่ทางหลังสำนักแล้ว อย่ากังวลเลย แล้วก็จัดที่ให้เจงหลีกั๊กได้พักผ่อนหลับนอน เจงหลีกั๊กเอนตัวลงนอน แต่ก็ยังหาได้หลับไม่เพราะยังครุ่นคิดรำพึงถึงถ้อยคำของตัวหัวจินเหยิน ที่ได้กล่าวกับตนนั้น ก็เห็นจริงด้วยทุกอย่างทุกประการ จนจิตสงบเยือกเย็น เกิดความเบื่อหน่ายขยะแขยงในลาภยศและราคะ คิดแต่จะหลบออกสู่ที่สงบ เพื่อเจริญภาวนาบำเพ็ญเพียรจนกระทั่งม่อยหลับไป รุ่งเช้าตังฮั่วจินหยินให้ศิษย์จัดอาหารเจให้เจงหลีกั๊กกิน เสร็จแล้วเจงหลีกั๊กก็คุกเข่าลงกราบตังฮั่วจินหยินสามครั้ง ตามแบบอย่างศิษย์พึงกระทำต่ออาจารย์ แล้วพูดว่า ข้าพเจ้านี้มัวเมามานานถูกกิเลสราคะครองงำจนตาเกือบจะมืดบอด ต่อได้มารับฟังโอวาทคำชี้แจงของท่านอาจารย์ จึงทำให้ได้สติรู้สึกสำนึกตน ข้าพเจ้าขอมอบตัวเป็นศิษย์ ยึดท่านอาจารย์เป็นที่เคารพตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอท่านอาจารย์ได้เมตตาแนะนำสั่งสอน ให้ข้าพเจ้าได้พ้นจากทุกข์อันยุ่งเหยิงนี้ด้วย ตังฮั่วจินหยินก็รับว่าจะช่วยแนะนำสั่งสอนให้ด้วยความเต็มใจ ตังฮั่วจินหยินก็ได้เริ่มสั่งสอนวิธีการเจริญภาวนาบำเพ็ญเพียรให้แก่เจงหลีกั๊กทุกสิ่งทุกประการ ตลอดจนฝึกอบรมทวิธีใช้ธาตุไฟในร่างกาย ออกเผาสรรพสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นเงินและทอง กับมอบกั้นหยั่นวิเศษให้เล่มหนึ่ง ชื่อแชเล้ง พร้อมทั้งประสิทธิ์มนต์สำหรับใช้กำกับกั้นหยั่นนั้นให้ด้วย เจงหลีกั๊กก็ตั้งใจหมั่นพยายามร่ำเรียนฝึกอบรมตน จดจำถ้อยคำของอาจารย์ที่ได้สั่งสอนไว้โดยแม่นยำจนชำนิชำนาญ พอเห็นเด็กจูงม้ามายืนคอยอยู่ข้างนอก จึงคุกเข่ากราบอาจารย์สามครั้งแล้วว่า ข้าพเจ้าจะต้องจากท่านอาจารย์ไปบัดนี้ แล้วสักเมื่อใด จึงจะได้มารับโอวาทคำสั่งสอนจากท่านอาจารย์อีกเล่า ตังฮั่วจินหยินได้ฟังว่า เจ้าอย่าวิตกไปเลย จงกลับไปหาครอบครัวบุตรภรรยาก่อนเถิด เพราะเขาลือกันว่าเจ้าเสียทัพตัวตายในที่รบ ครอบครัวของเจ้าต่างก็มีความเศร้าโศกทุกข์ร้อนเป็นอันมาก ต่อเมื่อได้เยี่ยมเยียนกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จงปลีกตัวออกไปหาที่วิเวกตั้งใจอุตสาหะบำเพ็ญเพียร คงจักได้สำเร็จบรรลุผลเป็นเซียนในชาตินี้เป็นแน่ ชื่อเสียงของเจ้าก็จักเป็นที่เคารพบูชาระบือไปไกล เราจะช่วยชี้หนทางให้เจ้าได้เดินทางไปพบครอบครัวบุตรภรรยาในวันนี้ และบางทีต่อไปภายหน้าเราอาจจะต้องเป็นศิษย์ของเจ้าก็ได้ เจงหลีกั๊กได้ฟังคำอาจารย์ว่า จะต้องมาเป็นศิษย์ตนเช่นนั้นก็มีความสงสัยนัก แต่ไม่อาจจะซักถามได้ด้วยความเคารพและยำเกรงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ภายใน ครั้นแล้วจึงแต่งตัวเหน็บกั้นหยั่นวิเศษ สะพายเกาทัณฑ์ ถือทวนรับบังเหียนม้าจากเด็ก ออกจูงเดินตามอาจารย์ไปราวครึ่งลี้ ตังฮั่วจินหยินหยุดแล้วชี้บอกว่า ทางหลวงอยู่ข้างหน้าโน้นเจ้าจงเดินทางไปโดยปลอดภัยเถิด ส่วนเราขอลาเจ้า ณ บัดนี้ ว่าแล้วก็หายวับไป เจงหลีกั๊กตกตลึงยืนนิ่งดุจถูกมนต์สะกด จนม้าร้องขึ้นจึงได้สติ เหลียวไปดูสำนักที่อาศัยของอาจารย์ก็ไม่เห็นมีแต่สักหลัง จึงคุกเข่าลงกับพื้นดินกราบลงอีกสามครั้ง จึงขึ้นม้าขับไปจนถึงทางหลวง ก็จำได้ว่าเป็นแดนเมืองหุนตัง ซึ่งระยะทางห่างไกลจากเมืองกิจุ๊ยตั้งหมื่นลี้ ครั้นเจงหลีกั๊กมาถึงบ้าน เห็นผู้คนบ่าวไพร่ไว้ทุกข์กันทั้งสิ้น ฝ่ายนางโพลีฮูหยินได้เห็นสามีกลับมาเช่นนั้นก็มีความยินดียิ่งนัก เรียกบุตรหญิงชายบ่าวไพร่ทุกคนให้มากราบไหว้ แล้วเล่าเรื่องที่ทหารแตกทัพมาบอกว่า เจงหลีกั๊กได้ทำการรบกับพวกโทวฮวนจนตัวตายในที่รบ จึงมีความเศร้าโสกเสียใจ และจัดการเซ่นไหว้และไว้ทุกข์ดังที่ได้มาเห็นอยู่นี้ และว่าบัดนี้ท่านก็ได้กลับมาแล้วเป็นอันหมดทุกข์หมดโศกขอให้อายุยืนสืบไป แล้วฮูหยินก็สั่งคนใช้ให้จัดสุราอาหารมาเลี้ยงดู เป็นการฉลองต้อนรับสามีด้วยความปิติยินดี พอเจงหลีกั๊กและครอบครัวเตรียมจะลงมือบริโภคอาหาร ก็พอเจงหลีกั๊งผู้พี่ชายที่ลาออกจากราชการมาถึง เพื่อแสดงความยินดี เจงหลีกั๊กก็เลยเชิญให้เข้านั่งโต๊ะด้วยกันเจงหลีกั๊กก็ถามว่าเหตุใดหรือพี่เราจึงลาออกจากราชการเสียแต่ยังไม่ถึงวัยชรา เจงหลีกั๊งได้ฟังดังนั้น ก็เล่าให้น้องชายฟังถึงความเบื่อหน่ายต่อชีวิตทางโลก ที่ลาออกมานี้ก็เพื่อหวังที่จะแสวงหาที่สงบสงัด เพื่อได้ประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญเจริญภาวนาสมาธิ ให้พ้นจากความยึดเหนี่ยวของโลก เจงหลีกั๊กก็ได้เล่าเรื่องของตนตั้งแต่แตกทัพหนีข้าศึกไป จนกระทั่งได้พบกับตังฮั่วจินหยิน ได้ศึกษาวิธีการปฏิบัติบำเพ็ญฌานและเล่าเรียนเวทย์มนต์คาถาต่าง ๆ ทั้งตังฮั่วจินหยินผู้อาจารย์ได้มอบกั้นหยั่นแชเล้งให้เล่มหนึ่ง และท่านอาจารย์ได้บอกว่ากั้นหยั่นเล่มนี้มีอิทธิฤทธิ์ยิ่งนัก แต่ยังมิได้ทดลองเลย เมื่อได้กินสุราอาหารเลี้ยงดูกันเป็นที่อิ่มหนำสำราญแล้ว เจงหลีกั๊งก็ลากลับไป ส่วนเจงหลีกั๊กอยู่บ้านเป็นเวลาหลายวัน จึงคิดว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงมองอาญาสิทธิ์ให้เรา เป็นแม่ทัพไปปราบปรามข้าศึก แต่เรากลับเสียทัพหลบหนีเอาตัวรอด ย่อมมีความผิดตามกฏอัยการศึกโทษถึงประหารชีวิต ฉะนั้นเราจะมาหลบอยู่กับบ้านเช่นนี้ไม่ควร โทษผิดจะมีมาถึงครอบครัวบุตรภรรยาด้วย คิดดังนั้นแล้ว จึงสั่งภรรยาให้กำชับลูกเต้าและบ่าวไพร่ อย่าแพร่งพรายให้เรื่องที่ตนกลับมาบ้านนี้ รั่วไหลไปถึงเมืองหลวงเป็นอันขาด ด้วยจะมีพวกขุนนางที่อาจดอิจฉาริษยา จะเท็จทูลพระเจ้าแผ่นดินให้ลงพระราชอาญาทั้งครัวเรือน ฮูหยินก็สั่งกำชับผู้คนภายในบ้านตามที่สามีสั่งทุกประการ เจงหลีกั๊กได้ปรึกษากับเจงหลีกั๊งด้วยเรื่องที่จะออกไปแสวงหาที่วิเวก เพื่อถือศีลบำเพ็ญพรตอยู่เป็นเวลาหลายวัน ครั้นเป็นที่ตกลงกันแล้ว ทั้งสองพี่น้องก็อำลาบุตรภรรยาญาติมิตร แต่งเป็นเต้าหยินออกเดินทางเข้าสู่ราวป่าด้วยกัน เต้าหยินทั้งสองเดินทางมาถึงป่าใหญ่แห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงคนโห่ร้องอึงคนึงอยู่ทางป่าอีกด้านหนึ่ง จึงชวนกันขึ้นไปดูบนไหล่เขา เห็นคนเป็นอันมากกำลังต้อนไล่เสือใหญ่ออกจากป่า และถูกเสือตบกัดบาดเจ็บก็หลายคนด้วยปรากฏว่าในป่านี้มีเสือใหญ่ดุร้ายตัวหนึ่ง ชอบออกเที่ยวคอยทำร้ายกัดกินคนอยู่เสมอ มาวันหนึ่งเสือตัวนี้ได้ตะครุบเอาชายหนุ่มคนหนึ่งไปกินเสีย ชายผู้นี้เป็นคนกำพร้าบิดา อยู่แต่มารดา ได้ทำมาหาเลี้ยงชีพโดยหาไม้ฟืนและของป่าขาย เมื่อมารดาของชายผู้นั้นรู้ว่าบุตรของตนถูกเสือกัดตาย ก็ร้องไห้จนสลบ แล้วไปร้องเรียนต่อนายอำเภอขอให้จัดการกำจัดเสือเป็นการแก้แค้น และมิให้ใครได้รับความเดือดร้อนอีกต่อไป นายอำเภอมีความสงสารเป็นอันมาก จึงเกณฑ์ชาวบ้านออกทำการล่าจับเสือร้ายตัวนั้น ดังที่เต้าหยินพี่น้องกำลังยืนดูอยู่ ณ บัดนี้ ผู้คนทั้งหลายกำลังไล่เสือมา ครั้นเห็นเต้าหยินสูงอายุรูปร่างสง่าผึ่งผายยืนดูอยู่ที่ไหล่เขา ก็มีความยินดีเป็นอันมากชวนกันขึ้นไปกราบไหว้ขอร้องให้ช่วยกำจัดเสือร้ายนั้นเพราะลำพังกำลังตนเห็นจะจับได้โดยยาก เพราะเป็นเสือดุฉกรรจ์ ทั้งมีกำลังประเปรียวว่องไว เจงหลีกั๊งจึงพูดกับเจงหลีกั๊กว่า เจ้าก็มีกั้นหยั่นวิเศษอยู่กับตัว ลองเอามาใช้ช่วยคนเหล่านี้กำจัดเสือร้าย ให้คนทั้งปวงได้รับความร่มเย็นสักที เจงหลีกั๊กก็รับคำ ชักกั้นหยั่นออกขว้างไป กั้นหยั่นก็ลอยตรงเข้าตัดคอเสือขาดกระเด็น แล้วก็กลับมาเข้าฝักตามเดิม ชาวบ้านเหล่านั้นครั้นเห็นเสือตาย ต่างก็มีความดีใจเป็นอันมากพากันกราบไหว้ แล้วช่วยกันหามเสือนั้นไปส่งแก่นายอำเภอ ส่วนเจงหลีกั๊กและเจงหลีกั๊งก็ลงจากไหล่เขา เดินมุ่งหน้าต่อไปจนถึงเขาอีกลูกหนึ่ง ตรงเชิงเขาเป็นทำเลภูมิฐานร่มเย็น สมควรเป็นที่พำนักเพื่อปฏิบัติธรรม จึงได้ช่วยกันสร้างสำนักขึ้น เข้าอยู่อาศัยเจริญสมาธิภาวนานับแต่บัดนั้นมา เมื่อมีเวลาว่างก็ได้ออกท่องเที่ยวเยี่ยมเยียนยังสำนักเต้าหยินและนักพรตต่าง ๆ เพื่อได้ศึกษาเพิ่มเติมเสมอมาเป็นเวลาหลายปี มาคราวหนึ่งเจงหลีกั๊กเที่ยวไปตามตำบลต่าง ๆ เห็นบรรดาคนทั้งหลายตามตำบลที่ผ่านไปมีร่างกายซูบซีดผอมเหลืองด้วยความอดอยากหิวโหย ทำมาหากินได้ข้าวปลาอาหารมาไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ให้มีความสมเพชเวทนายิ่งนัก ครั้นกลับมาถึงสำนัก ก็ได้แต่ครุ่นคิดรำพึงถอนใจใหญ่ เจงหลีกั๊งเห็นดังนั้น ก็มีความสงสัยถามว่า มีเรื่องอะไรหรือจึงมีอาการประดุจทุกข์ร้อนเช่นนั้น เจงหลีกั๊กก็เล่าเรื่องตามที่ตนไปได้พบเห็นมานั้นให้เจงหลีกั๊งฟังทุกประการ เจงหลีกั๊งจึงว่า ซือตี๋ก็ได้เล่าเรียนวิชาใช้ธาตุไฟในร่างกายเผาสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นเงินเป็นทองได้ ก็ทำไมจึงไม่คิดทำเงินทำทองแจกคนยากคนจนบ้างเล่า อันจะเป็นบุญกุศลหาน้อยไม่ เจงหลีกั๊กได้ฟังดังนั้นจึงว่า ต่อเมื่อชือเฮียพูดนี่เอง ข้าพเจ้าจึงนึกได้ รุ่งขึ้นสองพี่น้องกินอาหารเสร็จแล้ว ก็เดินทางออกจากสำนักตรงไปยังตำบลที่อดอยาก แล้วเดินเข้าไปยังที่ ๆ มีกองก้อนหินใหญ่น้อยที่มีเป็นอันมากในแถวนั้น เจงหลีกั๊กจึงทำพิธีขับเอาธาตุไฟออกจากร่างกาย เผาก้อนหินเหล่านั้น จนกลายเป็นก้อนทองและเงินไปจนสิ้น เจงหลีกั๊งดีใจเป็นอันมาก รีบไปป่าวร้องให้พวกชาวบ้านในตำบลนั้นไปรับแจก เต้าหยินสองพี่น้องก็ทำการแจกก้อนเงินก้อนทองให้แก่คนยากจนเหล่านั้นเป็นเวลาหลายวันจึงเสร็จ เห็นคนทั้งหลายค่อยมีความสุขสบายขึ้นแล้วก็เดินทางกลับสำนักตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรเจริญภาวนาต่อไป ครั้นล่วงมาวันหนึ่งเจงหลีกั๊กและเจงหลีกั๊งกำลังเข้าสมาธิเจริญฌานอยู่ พลันก็ได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะบรรเลงลงมาจากอากาศ จึงรีบลุกเดินออกจากสำนักแหงนขึ้นดูไปบนอากาศ ก็เห็นทิก๋วยลี้เหยียบเมฆลอยลงมายังพื้นดิน ก็พากันคุกเข่าลงกราบด้วยความเคารพ และดีใจยิ่งนัก ทิก๋วยลี้จึงพูดว่า บัดนี้ท่านลีเล่ากุนผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ ให้ข้าพเจ้ามารับเจงหลีกั๊ก ซึ่งมีชื่อปรากฏในบัญชีของสำนักว่า ฮั้นเจงหลีไปหาท่านบัดนี้ เจงหลีกั๊กได้ฟังดังนั้น ก็กราบลงอีกสามครั้ง แล้วสั่งเสียเจงหลีกั๊งผู้พี่ชายให้อุสาหะปฏิบัติบำเพ็ญเพียรโดยเคร่งครัดต่อไป ครั้นสั่งแล้วก็พร้อมด้วยเซียนทั้งหลายที่มารับ ขึ้นเหยียบเมฆลอยไปสู่สำนักลีเล่ากุน ณ เขาเล่งห่วยหวย ลีเล่ากุนขนานชื่อให้เจงหลีกั๊กว่า ฮั้นเจงหลี และแต่งตั้งให้เป็นเซียนในอันดับที่สองในคณะเซียนทั้งแปด และสั่งทิก๋วยลี้ จัดที่อยู่อันสมควรแก่อัตภาพให้ ต่อจากนั้นมาอีกหลายสิบปีฮั้นเจงหลีได้พิจารณาเห็นการบำเพ็ญของเจงหลีกั๊ง เป็นไปโดยบริบูรณ์มีอำนาจตบะเดชครบถ้วน แล้วก็ออกจากสำนักตรงไปหาเจงหลีกั๊ง ซึ่งกำลังเข้าสมาธิเจริญฌานอยู่รู้ว่าน้องชายมา ก็ออกไปต้อนรับต่างมีความยินดีต่อกัน ฮั้นเจงหลีก็แจ้งว่า วันนี้ข้าพเจ้ามารับซือเฮียไปอยู่ด้วยกัน เจงหลีกั๊งได้ฟัง ก็มีความยินดียิ่งนัก ก็ออกมาจากสำนักที่เคยอยู่ ฮั้นเจงหลีก็ใช้ธาตุไฟเผาไหม้เป็นจุลไป แล้วต่างก็พากันไปอยู่ ณ สำนักเขาเฮาะฮงเป็นสุขสืบมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น