วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เซียนองค์ที่ 1

เซียนองค์ที่ 1

ทิก๋วยลี้ อดีเต กาเล กิร ดังได้ยินมาแต่ครั้งอดีตกาลนานไกล ณ ผืนแผ่นดินจีน มีชายหนุ่มคนหนึ่งรูปงาม มีความรู้สติปัญญาฉลาดว่องไว มีชื่อว่าลิเหียน เป็นคนเจ้าสำราญอิสระ มิคิดอ่านที่จะประกอบอาชีพมีครอบครัวแต่อย่างใด นิสัยของเพื่อนนั้นรักความสงบวิเวก มีน้ำใจฝักใฝ่ในการถือศีลกินเจประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญเพียรสมาธิภาวนาเป็นนิจ ครั้งเนียรกาลนานมามีความเบื่อหน่ายต่อสภาพความเป็นอยู่ของชีวิตมนุษย์ เกิดปัญญาพิจารณาหยั่งลงไปเห็นถ่องแท้ว่า สัตว์มนุษย์เรานี้เมื่อเกิดมาเป็นกายแล้ว ก็ต้องประสบกับความตายสิ้น ไม่มีผู้ใดใครผู้หนึ่งจะอยู่ยั่งยืนค้ำฟ้าไปได้ ประการหนึ่งตัณหาความทะยานอยากนั้นเล่า ก็เปรียบประดุจอาวุธอันคมกล้า ที่คอยบั่นรอนความสงบสันติสุข อีกทั้งอำนาจยศ ทรัพย์สมบัติทั้งปวง ตลอดจนความสรรเสริญเยินยอนั้นเล่า เมื่อพิจารณาดูให้ลึกซึ้งแล้วก็เปรียบประดุจยาพิษอันร้ายกาจ ที่ห่อหุ้มเคลือบไว้ด้วยรสอันหอมหวาน สัตว์ทั้งหลายที่เข้าไปติดลุ่มหลงก็พากันถึงแก่ความพินาศสิ้น แม้ว่าจะมีวาสนาบารมี เป็นถึงจอมจักพรรดิ์ทรงเดชอำนาจครองทวีป ทั้ง 4 มันก็ดูประดุจภาพลวงตา เฉกเสมือนกลุ่มก้อนเมฆที่ลอยอยู่นอกดวงจันทร์ฉะนั้น เมื่อเพ่งจิตพิจารณาทบทวนดูสภาพการณ์แห่งชีวิตดั่งนี้แล้ว อนิจจาแท้จริงมันก็เป็นมายาแห่งเปลวพยับแดดอันร้อนแรงกลางทะเลทราย เหตุใดมนุษย์ทั้งหลายจึงมองไม่เห็นเล่า ปล่อยจิตใจสภาพความเป็นอยู่ของตนให้ไหลตกไปตามกระแสอารมณ์ ยอมตนให้อำนาจฝ่ายต่ำแห่งโลกียธรรม ผูกมัดชักพาไปดุจนักโทษฉกรรจ์ ฉะนั้น ไม่น่าเลย เมื่อลิเหียนได้สติพิจารณาเห็นสัจธรรมเช่นนั้น ก็พลันตัดสินใจ สละเครื่องผูกพันทั้งมวลอำลาญาติสนิทมิตรสหาย ออกสู่วิเวกจาริกท่องเที่ยวไปตามป่าเขา แสวงหาท้องเถื่อนถ้ำเป็นที่พำนักอาศัย เป็นทำเลใกล้กับศาลาโรงเจแห่งหนึ่ง ประกอบปฏิบัติบำเพ็ญเพียรสมาธิภาวนาด้วยความแน่วแน่อยู่เป็นเวลาหลายปี ก็ยังไม่บรรลุผลอย่างไร จึงมาหวนคิดว่า เหตุที่การบำเพ็ญเพียรไม่สำเร็จผล ก็คงเป็นเพราะขาดท่านผู้เป็นอาจารย์ที่จะอบรมแนะนำสั่งสอน เมื่อคิดดังนั้นแล้วก็ออกเดินทางมุ่งตรงไปยังเขาเล่งห่วยหวย อันเป็นสำนักของท่านพรหมฤาษีลีเล่ากุน อันเป็นหนทางทุรกันดารยิ่งได้บุกฝ่ารกข้ามเขาข้ามห้วยลูกแล้วลูกเล่า ด้วยความเหน็ดเหนื่อยยากลำบากเป็นเวลาแรมเดือน จึงบรรลุถึงที่หมาย มองแลขึ้นไปเห็นยอดเขาสูงเทียมเมฆทอดเทือกยาวสุดที่จะประมาณได้ แลดูหนาทึบแน่นขนัดไปด้วยป่าสน แต่ละต้นสูงลิ่วและลำต้นใหญ่มหึมา คะเนอายุเป็นร้อย ๆ พัน ๆ ปี เวลาอาทิตย์อัสดง หมู่เมฆที่ลอยเลื่อนละไปตามไหล่เขาและยอดเขา ก็เปลี่ยนแปรสลับสีเลื่อมพรายน่าดูยิ่งนักทั้งเสียงนกสกุณชาติใหญ่น้อยที่โผผินบินเกาะไปมา ก็ส่งเสียงร้องประสานขานขันอย่างไพเราะวังเวงรื่นรมย์ใจ ลิเหียนหยุดพัก นั่งชมนกและหมู่ไม้อยู่อย่างเพลิดเพลินจนมืดค่ำ จึงได้เดินตรงไปยังประตูถ้ำ ยกมือขึ้นหมายจะเคาะเรียก แต่มาฉุกคิดได้ว่าขณะนี้เป็นเวลาค่ำมืดแล้ว ใช่กาลใช่เวลาที่จะเข้าไปรบกวนทำความรำคาญ อันเป็นการทำลายความสงบของท่านผู้วิเศษและเป็นการแสดงความไม่คารวะ จำเราจะนอนค้างแรมคืนตามพุ่มไม้แถวนี้ก่อนต่อพรุ่งนี้จึงค่อยเข้าไปคำนับกราบเรียนขอเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมต่อท่าน คิดดังนี้แล้วลิเหียนก็เข้าอาศัยโคนไม้ใหญ่ใกล้ประตูถ้ำนั้นเป็นที่พักนอนแรมคืน เวลาเช้ารุ่งขึ้น ลีเล่ากุนและอวนคูเซียนนั่งสนทนากันอยู่ภายในถ้ำ พอมีลมพัดพาเอากลิ่นดอกไม้หอมระรื่นเข้ามาภายในเป็นที่ผิดสังเกตกว่าทุกวัน ลีเล่ากุนจึงบอกกับอวนคูเซียนว่า ที่ลมพัดมากลิ่นดอกไม้หอมประหลาดเข้ามาเช่นนี้ ท่านพอจะทราบเหตุหรือไม่ อวนคูเซียนจึงตอบว่า กลิ่นหอมประหลาดอย่างนี้แสดงว่า จะมีผู้วิเศษมาหาถึงสำนักแห่งเรา ลีเล่ากุนจึงว่า ข้าพเจ้าได้ตรวจดูบัญชีเซียนทั้งปวงแล้ว เห็นว่าลิเหียนซึ่งจะได้ชื่อว่าทิก๋วยลี้ไปภายหน้า เห็นจะได้สำเร็จเป็นเซียนในไม่ช้าและบัดนี้ก็ได้มานอนอยู่ใกล้ประตูสำนักแห่งเราแล้ว อวนคูเซียนได้ฟังดังนั้น จึงสั่งให้เต้าหยินน้อยผู้เป็นศิษย์สองคนออกไปดู พอเต้าหยินน้อยออกมาถึงหน้าถ้ำ ก็พอดีเห็นนักพรตผู้หนึ่งรูปร่างสง่างามผิวพรรณผ่องใส เดินออกมาจากพุ่มไม้ใหญ่ตรงข้ามกับประตูถ้ำ จึงตรงเข้าคำนับถามว่า ท่านผู้นี้แซ่ลิใช่หรือไม่ ลิเหียนได้ฟังดังนั้นก็ฉงนจึงถามว่า เหตุใดท่านทั้งสองจึงรู้จักเรา เต้าหยินน้อยทั้งสองก็ตอบว่า ท่านลีเล่ากุนอาจารย์ของข้าพเจ้าบอกแก่อวนคูเซียนว่า ท่านแซ่ลิจะมาถึงยังสำนักในวันนี้ จึงได้ให้ข้าพเจ้าทั้งสองออกมาคอยรับ ลิเหียนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี รำพึงว่าอันตัวเรากับอาจารย์ลีเล่ากุน แต่ชาติก่อนคงจะได้เคยอุปถัมภ์กันมาท่านจึงล่วงรู้ถึงการมาของเราดั่งนี้ การที่เราอุตส่าห์พยายามมุ่งหน้ามาครั้งนี้ คงจะเป็นผลสมความประสงค์เป็นแน่ คิดแล้วก็ตามเต้าหยินน้อยเข้าไปภายในถ้ำ เห็นท่านลีเล่ากุนพรหมฤาษี นั่งอยู่บนอาสนะ มีฉวีวรรณสดชื่นผ่องใสปรากฏเบ็ญจรังสีอยู่รอบกาย ถัดมาเบื้องขวาเห็นเซียนผู้ใหญ่ผู้หนึ่ง ท่าทางสง่างามผึ่งผาย ผมขาวตายาว คิ้วยาว ดั่งวาด นั่งอยู่ด้วย ลิเหียนก็ตรงเข้าไปประสานมือกระทำความเคารพด้วยความปลื้มปิติ ท่านผู้สำเร็จทั้งสองก็กระทำคำนับตอบ แล้วลีเล่ากุนก็บอกให้ลิเหียนนั่งในที่อันได้จัดไว้ แต่ลิเหียนไม่ยอมนั่ง กระทำคำนับอีกครั้งหนึ่งแล้วว่า อันตัวข้าพเจ้านี้ต่ำศักดิ์ ทั้งสติปัญญาก็น้อยเป็นผู้โง่เขลา ได้เพียรพยายามประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญภาวนาโดยลำพังตน ปราศจากครูอาจารย์เป็นผู้ให้โอวาทฝึกสอนอบรม จึงมิได้รับผลจากการบำเพ็ญเพียรนั้น ข้าพเจ้าจึงได้บุกฝ่าดงมาด้วยความอุตสาหะพยายาม มิเห็นแก่ชีวิต เพื่อมุ่งมาขอกราบฝ่าเท้าท่านอาจารย์มอบตัวเป็นศิษย์ ขอท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตาอนุเคราะห์ช่วยอบรมสั่งสอนข้าพเจ้า ให้บรรลุผลที่ได้ตั้งใจมานั้นด้วยเถิด จะเป็นพระคุณแก่ข้าพเจ้าผู้เป็นศิษย์อย่างหาที่สุดมิได้ บัดนี้ ข้าพเจ้าผู้เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ เพียงแต่ยืนคอยรับโอวาท ก็นับว่าเป็นความเมตตาของท่านอาจารย์อยู่แล้ว ไม่สมควรจะนั่งเป็นการตีตนเสมอเช่นนั้นลีเล่ากุนได้ฟังดังนั้นจึงว่า เรากับเจ้าได้พบกัน ณ วันนี้ ก็เพราะแต่ชาติปางก่อนได้เคยอุปถัมภ์ช่วยเหลือกันมา เพราะฉะนั้น ผลแห่งการช่วยเหลือกันนั้นก็เป็นอันสำเร็จลงด้วยกันทั้งสองฝ่าย มาคราวนี้เราจะได้ช่วยกันอีก ฉะนั้นขอให้เจ้าจงรับโอวาทข้อปฏิบัตินี้ไปบัดนี้ คือ จงพยายามสงบอารมณ์ทั้งมวล ที่บังคับขึ้นทั้งภายนอกภายในร่างกาย จึงจะสงบ เมื่ออารมณ์และร่างกายสงบแล้วกามราคะทั้งหลายก็ไม่เกิด เมื่อกามราคะสิ้นไป กิเลสทั้งปวงก็ปราศไป เมื่อกิเลสปราศหมดสิ้นไปแล้ว จิตก็จะผ่องใสขาวบริสุทธิ์ยิ่งกว่าความขาวผ่องของสำลี เมื่อปฏิบัติได้เช่นนี้ ก็จะถึงซึ่งความเกษมสุขเป็นอมตะ เมื่อลิเหียนได้รับโอวาทอันเป็นเบื้องต้นเช่นนั้น ก็บังเกิดปิติซาบซึ้ง มีความเข้าใจถ่องแท้ในวัตรปฏิบัติของเซียนทุกประการ จึงทรุดตัวลงกราบที่พื้นแล้วพูดว่าโอวาทของท่านอาจารย์ที่ให้แก่ข้าพเจ้านี้ เป็นหลักใหญ่แห่งการบำเพ็ญเพียรอย่างแท้จริง ซึ่งข้าพเจ้ามิเคยได้ยินมาก่อนเลย พูดแล้วลิเหียนก็หันไปคำนับอวนคูเซียน ครั้งหนึ่งอวนคูเซียนจึงว่า ชื่อของท่านได้ปรากฏมีในบัญชีเซียนแล้ว ต่อไปนี้อย่าเที่ยวซอกซอนไปอื่นเลย จงหมั่นปฏิบัติตามโอวาทคำสอนของท่านอาจารย์ลีเล่ากุนเถิด ในไม่ช้าจะได้บรรลุผลสำเร็จแห่งเซียนภาวะเป็นแน่ อวนคูเซียนกล่าวตักเตือนดังนั้นแล้ว ก็สั่งให้เต้าหยินผู้น้อยผู้เป็นศิษย์ไปส่งลิเหียน ลิเหียนคุกเข่าลงกราบเคารพท่านลีเล่ากุนสามครั้ง ในฐานะศิษย์กราบอาจารย์ แล้วคำนับลาอวนคูเซียน เดินตามเต้าหยินน้อยออกจากถ้ำ กลับคืนสู่สำนักเดิม เมื่อลิเหียนกลับมาถึงสำนักแล้ว ก็ตั้งความบำเพ็ญเพียรตามโอวาทของท่านลีเล่ากุนด้วยความเด็ดเดี่ยวมั่นคงเจริญภาวนาสำรวมจิตมั่นไม่วอกแวกหวั่นไหว จนอาการทั้งสามสิบสองระงับแน่วแน่ จนในที่สุดก็สามารถถอดวิญญาณออกจากร่างเที่ยวไป ณ ที่ต่าง ๆ ได้ตามความต้องการขณะที่ลิเหียนถอดวิญญาณออกเที่ยวไป ณ ที่ต่าง ๆ นั้น ได้มีผู้ที่รู้จักพบปะทักทายกับลิเหียนแทบทุกแห่ง จนต่อมาคนทั้งหลายรู้ว่าลิเหียนสำเร็จฌานสมาบัติ ต่างก็มีความนิยมนับถือยอมตนเป็นศิษย์ เข้าฝึกปฏิบัติอยู่ด้วยเป็นอันมาก วันหนึ่งลิเหียนกำลังอบรมสั่งสอนบรรดาศิษย์ ก็ได้เห็นเบ็ญจรังสีส่องลอดเข้ามาตามช่องหน้าต่างจึงได้สงบจิตพิจารณา ก็แจ้งว่าท่านลีเล่ากุนผู้เป็นอาจารย์กับอวนคูเซียนกำลังเหาะมาถึงสำนักอยู่แล้ว จึงรีบปีนขึ้นสู่ยอดเขาหลังสำนัก เงยหน้าขึ้นมองไปโดยรอบ ก็ไม่เห็นมีอะไรสดุดตา นอกจากก้อนเมฆน้อยใหญ่ที่ลอยเกลื่อนท้องฟ้า ครั้นแล้วก็ก้มลงมองไปเบื้องล่าง เห็นวิหกขนงามตัวหนึ่ง เกาะชะง่อนหิน ยืนสบัดขนส่งเสียงร้องร่าเริงอยู่ ก็ถอนใจยาวรำพึงว่า นกตัวนี้เต็มไปด้วยความสุข ปราศจากสิ่งที่จะต้องห่วงใยใด ๆ มีแต่ปีกและหางพาตัวบินไปเท่านั้น เป็นอิสระแก่ตัวเอง แต่อนิจจาส่วนมนุษย์นี่เล่าพาตนให้ตกเป็นทาสของความมัวเมาอยู่ด้วยรูป รส กลิ่น เสียง คำเยินยอ และอำนาจอันจอมปลอม จนแม้แต่ความตายจะมาถึงก็ไม่รู้สึกตัว ดู ๆ แล้วก็ดูจะมีสภาพความเป็นอยู่ของชีวิตต่ำช้ากว่าวิหกนกน้อยตัวนี้เสียอีก ขณะที่ยืนรำพึงเพลินอยู่นั้น เบ็ญจรังสีก็สาดลงมาต้องลิเหียน ลิเหียนตกใจแหงนหน้าขึ้นดู เห็นเซียนผู้สำเร็จสองคน นั่งหลังนกกะเรียนลอยล่องมา จนเข้ามาใกล้ จึงจำได้ว่าท่านอาจารย์ลีเล่ากุนและอวนคูเซียนมาหาตน ก็มีความยินดียิ่งนัก จึงคุกเข่าลงกราบสามครั้ง ท่านลีเล่ากุนเห็นแล้ว ก็หัวเราะด้วยความพอใจแล้วพูดว่า เราแจ้งในความรำพึงคิดของเจ้าโดยตลอดแล้ว เรามีความพอใจในการปฏิบัติอันเป็นไปโดยถูกต้อง ตามโอวาทที่ให้ไว้แก่เจ้ายิ่งนัก แล้วทั้งสามศิษย์อาจารย์ก็พากันไปยังสำนักของลิเหียน ลิเหียนจัดอาสนะที่นั่งให้แก่ท่านอาจารย์และอวนคูเซียนแล้วก็คุกเข่าลงกราบท่านลีเล่ากุน ขอโอวาทที่จะพึงปฏิบัติเพิ่มเติมต่อไปอีก ท่านลีเล่ากุนจึงว่า ข้อวัตรปฏิบัติในการบำเพ็ญเพียรต่อไปนั้นยิ่งละเอียดสุขุมขึ้นไปตามลำดับ เจ้าจงค่อยอบรมจิตดับอารมณ์ และระงับเรื่องพัวพันต่าง ๆ เสียให้สิ้นเชิง จนตราบกระทั่งจิตตั้งอยู่ในความเป็นแน่เกิดขึ้น และตั้งมั่นสม่ำเสมอไม่ผันแปรต่อไปอีก นั่นและเจ้าจะได้รับผลเข้าสู่ภูมิแห่งฌานอภิญญา ขอเจ้าจงบำเพ็ญเพียรปฏิบัติให้เคร่งครัด ส่วนสำหรับที่เรามาในวันนี้ด้วยจะบอกแก่เจ้าว่า ต่อแต่นี้ไปอีก 10 วัน เจ้าจงถอดวิญญาณไปด้วยกับเรา ว่าแล้วลีเล่ากุนและอวนคูเซียนก็ลากลับไป ฝ่ายลิเหียนครั้นส่งอาจารย์กลับไปแล้ว ก็เข้าปฏิบัติบำเพ็ญเจริญสมาธิภาวนาด้วยความขมักเขม้น จนวันคืนล่วงผ่านไปจนครบกำหนด 10 วัน ตามที่ท่านลีเล่ากุนผู้อาจารย์ได้สั่งไว้ จึงเรียกเอี้ยจื๊อผู้ศิษย์มาสั่งว่า วันนี้เราจะถอดวิญญาณไปหาท่านลีเล่ากุนผู้เป็นอาจารย์ของเราตามที่ท่านได้สั่งไว้ เราขอมอบให้เจ้าเป็นผู้รักษาร่างของเราที่ทิ้งไว้นี้เป็นกำหนดเวลา 7 วัน ในวันที่ 7 เราจะกลับมาเข้าร่างตามเดิม แต่ถ้าเมื่อครบกำหนด 7 วันแล้ว เรายังไม่กลับมาเข้าร่าง เจ้าจงเอาไฟเผาเสียเถิด เพื่อมิให้ผู้ใดรู้เป็นที่ยุ่งยากต่อไปแต่สำหรับในระหว่าง 7 วันนี้ เจ้าจงระวังรักษาให้ดีอย่างให้เป็นอันตรายได้ เมื่อได้สั่งศิษย์เป็นที่วางใจแล้ว ลิเหียนก็เข้าฌานออกจากร่างตรงไปยังเขาเล่งห่วยหวย อันเป็นสำนักของลีเล่ากุนและอวนคูเซียนโดยเร็ว ฝ่ายเอี้ยจื๊อผู้เป็นศิษย์ ตั้งแต่ลิเหียนผู้อาจารย์ได้ถอดวิญญาณไปแล้ว ก็ได้เอาใจใส่ดูแลรักษาร่างของอาจารย์ด้วยความเรียบร้อยตลอดมาจนถึงวันคำรบ 6 พอดี วันนั้นคนใช้ทางบ้านมาแจ้งกับเอี้ยจื๊อว่า มารดาท่านกำลังป่วยหนัก ให้รีบกลับไปโดยเร็ว ถ้าอยู่ช้าแล้วไม่ได้เห็นใจเอี้ยจื๊อได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้พูดว่า อาจารย์ได้สั่งให้เราระวังรักษาร่างของท่านมีกำหนด 7 วัน ในวันที่ครบ 7 วัน วิญญาณของท่านจะกลับมาเข้าร่าง และวันนี้ก็เป็นวันที่ 6แล้ว ถ้าเราไปรักษาแม่ ใครจะเป็นผู้ดูแลรักษาร่างของอาจารย์แทนเรา คนใช้จึงว่าท่านพูดอะไร ก็อาจารย์ของท่านตายไปแล้วตั้ง 6 วัน จะฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร ตับไตไส้พุงป่านนี้คงเน่าเปื่อยหมดแล้ว ท่านยังจะคิดคอยว่าจะกลับฟื้นมาอีกเช่นนี้ ดูจะมิะป็นคนโง่เง่าไปหรือ และประการหนึ่งขอให้ท่านพิจารณาดู อันอาจารย์นั้นได้อุปถัมภ์สั่งสอนศิษย์ เมื่อมีอายุเติบใหญ่แล้วเท่านั้น ส่วนมารดานั้นได้กล่อมเกลี้ยงอุปถัมภ์ค้ำชูมาแต่อ้อนแต่ออก ฉะนั้น การที่ท่านจะเอาบุญคุณของอาจารย์มาเทียบกับคุณของมารดานั้นไม่ควร และถ้าอาจารย์ท่านจะฟื้นคืนร่างป่านนี้ก็คงฟื้นมาแล้วแต่นี่ข้าพเจ้ามาพิจารณาเห็นว่าท่านคงสำเร็จเป็นเซียนไปแล้ว คงจะไม่กลับคืนมาอีกเป็นแน่ และอีกประการหนึ่ง ถ้าจะทอดทิ้งร่างท่านไปเสีย ก็ไม่ถึงกับจำทำให้เสียหายมากมายอะไร เพียงแต่ไม่รักษาสัญญาเท่านั้น โทษมิมากมายอะไร แต่ถ้าหากท่านไม่ไปรักษาดูแลมารดาของท่านที่กำลังป่วยหนักนี้สิ ถ้าบังเอิญมารดาของท่านตายลง ไหนท่านจะพ้นจากคำของคนที่ครหาว่าท่านอกตัญญู ข้าพเจ้ามีความเห็นอย่างนี้ ขอท่านจงพิจารณาเอาเองเถิด เอี้ยจื๊อได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงตัดใจทิ้งร่างอาจารย์ ช่วยกันกับคนใช้ จัดหาฟืนมากองสุมได้มากพอแล้วก็หามร่างอาจารย์ขึ้นวางบนกองฟืน จัดเครื่องเจทำการเส้นสรวงบูชาแล้ว ก็ร้องไห้คุกเข่าลง กราบขอขมาบอกเล่าถึงความจำเป็น ที่ต้องกระทำดังนี้เหมือนมิรู้คุณแห่งอาจารย์ แล้วจุดไฟเผาจนร่างไหม้เป็นเถ้าถ่านหมดแล้ว ก็รวบรวมเก็บเข้าของรีบออกเดินทางไปพร้อมกับคนใช้ แต่พอถึงบ้าน ก็ปรากฏว่ามารดาได้ถึงแก่กรรมเสียก่อนแล้ว ฝ่ายท่านลีเล่ากุนและอวนคูเซียน ได้นำวิญญาณของลิเหียนท่องเที่ยวไปตามดินแดนแถบตะวันตก ได้เข้าไปตามสำนักเซียนที่ทรงวิชาการ ซึ่งตั้งอยู่ตามถ้ำในขุนเขาน้อยใหญ่ รวมทั้งสิ้น 36 สำนัก ได้ให้ลิเหียนรับคำแนะนำและเล่าเรียนข้อปฏิบัติและเวทมนต์ต่าง ๆ ทุกสำนัก ในที่สุดลิเหียนระลึกวิตกถึงร่างของตน ที่ถอดทิ้งไว้ให้ศิษย์เฝ้าในโรงเจ เกรงศิษย์จะเป็นห่วงจึงบอกลาต่อท่านลีเล่ากุน ท่านลีเล่ากุนหัวเราะแล้วกล่าวโศลกเป็นปริศนาว่า
ระแทะเปล่าเข้าทางจร แล้วหยุดนอนหนุนข้าวสาร
ผ้าขาดกลาดเกลื่อนลาน พอพานพบก็หยิบมา
อาลัยร่างกายเก่า กลับเป็นเถ้าถมสุธา
กายีจะมีมา หน้าตาไหม้คงได้ผล
ครั้นแล้วจะเปะปะ ก้าวเกะกะตามถนน
แต่จิตไม่หมองมล ดลฤทธิ์ยิ่งทุกสิ่งอันฯ
ฝ่ายลิเหียน ได้ฟังโศลกปริศนาในขณะนั้น ก็ยังไม่เข้าใจในความหมาย ทั้งวันนั้นก็เป็นวันคำรบ 7 เป็นกำหนดที่จะกลับคืนสู่ร่างแล้ว จึงทำให้มีความกังวลยิ่งนัก เพราะเกรงว่าร่างจะเป็นอันตราย ทั้งศิษย์เฝ้าดูแลอยู่ก็จะเป็นห่วงร้อนใจ เมื่อได้บอกลากราบลาท่านอาจารย์สามครั้ง และคำนับลาอวนคูเซียนแล้ว ก็รีบกลับมายังโรงเจโดยด่วย แต่ไม่เห็นร่างของตน กับทั้งศิษย์ก็หายไปด้วย หันมองออกไปข้างนอก ก็เห็นกองเถ้าถ่านซึ่งยังมีควันไฟคุกรุ่นอยู่ จึงตรงเข้าไปตรวจดู ก็เห็นชิ้นกระดูกไหม้ปนอยู่ด้วย ก็รู้ทันทีว่าเอี้ยจื๊อผู้เป็นศิษย์ เผาร่างของตนเนสียแล้ว ก็ให้เสียใจเป็นอันมาก นึกติเตียนว่า ไม่น่าเลยมาด่วนเผาเช่นนี้เป็นการไม่รักษาสัญญา หรือว่าศิษย์มีความจำเป็นเดือนร้อนอย่างไร ลิเหียนคิดแล้วก็ให้โทมนัสและรู้สึกว้าเหว่ยิ่งนัก เพราะปราศจากร่าง จึงล่องลอยระหกระเหินไปทั้งวันทั้งคืน จนในที่สุดได้มาถึงเชิงเขาแห่งหนึ่ง เห็นร่างคน ๆ หนึ่งนอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ก็เข้าไปดูจึงรู้ว่าร่างนั้นเป็นซากศพของคนขอทานเพิ่งตายใหม่ ๆ ไม่กี่ชั่วโมงมานี้เอง หน้าตาน่าชังเหยเก ผมเผ้ารุงรังเป็นกะเซิง ขาก็พิการข้างหนึ่ง ข้างตัวมีไม้เท้าและถุงข้าวสารวางอยู่ จึงคิดว่าถ้าเราไม่เข้าอยู่อาศัยร่างนี้ ก็มองไม่เห็นร่างที่ไหนที่จะพอหาเข้าอยู่ได้ พลันบัดนั้นก็ได้สติหวนระลึกถึงคำของท่านอาจาย์ลีเล่ากุน ที่เป็นปริศนาขึ้นมาได้ ก็เกิดความสว่างในดวงปัญญา ตระหนักถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ แต่อดีตและปัจจุบันได้โดยถ่องแท้ จึงเป็นอันสิ้นสงสัยหมดความกังวลและคลางแคลง จึงเข้าสู่ร่างนั้น ทันทีนั้นร่างศพของคนขอทานก็ลุกขึ้น จึงกระดิกกระเดี้ยได้ดังเดิม เวทมนต์คาถาที่เล่าเรียนมาจากสำนักผู้วิเศษต่าง ๆ ก็พลันมีอิทธิและศักดิ์สิทธิ์ขึ้น จึงขยับกายเปะปะ ลุกขึ้นยืนหยิบไม้เท้าและถุงข้วสารขึ้นมาเสกแล้วเป่าลง ทันใดไม้เท้าก็กลายเป็นไม้เท้าเหล็ก ถุงกลายเป็นน้ำเต้า ข้าวสารในถุงกลายเป็นยาวิเศษ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าฌานพิจารณามองไปยังศิษย์ ก็รู้ว่ามารดาของศิษย์ ได้ถึงแก่ความตายเสียก่อนศิษย์ไปถึง ก็ให้มีความสงสาร คิดว่าตัวเราบัดนี้ก็ได้บรรลุผลสำเร็จดั่งความปรารถนาแล้ว สามารถที่จะช่วยคนตายที่ยังไม่เน่าเปื่อยให้กลับคืนชีวิตเป็นขึ้นมาได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะไปช่วยมารดาของเอี้ยจื๊อผู้เป็นศิษย์ของเรา คิดดังนั้นแล้วก็ออกเดินกระโผลกกระเผลกตรงไปยังบ้านศิษย์ ขณะที่ไปตามทาง มีคนพบปะเห็นท่วงทีเป็นดังเซียนผู้เวิเศษ ก็คำนับถามว่าท่านอาจารย์มีชื่อว่าอะไร แซ่อะไร จะเดินทางไปไหน ลิเหียนได้ฟังก็หัวเราะด้วยความขบขันพลางตอบเป็นโคลงโศลกว่า
เรารึพงษ์แซ่ลิ ชื่อเหียน นามมา
อาจารย์เรียกทิก๋วย ท่านตั้ง
ตื้นลึกเราเล่าเรียน จบกบวนเวทย์แล
หลีก ๆ เจ้าอย่ายั้ง กีดทาง ฯ
ว่าแล้วก็ขยับไม่เท้าเหล็ก รีบเดินกระโผลกกระเผลกไปโดยเร็วเหมือนลมพัด คนพวกนั้นมองตามด้วยความประหลาดใจ พลางพูดกันว่า ตาขอทานคนนี้คงเป็นเซียนผู้วิเศษแน่แล้ว จึงเดินเร็วอย่างนั้น แต่ เอ! ทำไมจึงชื่อทิก๋วยหรือว่าแกจะตั้งชื่อของแก ให้สมกับที่ขาแกพิการต้องใช้ไม้เท้าเหล็ก เอาไว้พบกันคราวหน้า จะต้องขอศึกษาเล่าเรียนวิชาจากท่าน ฉะนั้น ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คนทั้งหลายก็เรียกลิเหียนในร่างขอทานพิการว่า ทิก๋วยลี้ ด้วยประการฉะนี้ ครั้นทิก๋วยลี้มาถึงบ้านเอี้ยจื๊อ เห็นศิษย์ของตน ยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นคร่ำครวญกอดโลงศพ แล้วก็เงยหน้าขึ้นถอนใจยาวตามองดูกั้นหยั่นที่ติดอยู่ข้างฝา แสดงอาการดังจะฆ่าตัวตาย จึงเดินเข้าไปใกล้พูดว่า อันการเกิดการตายนั้นเป็นธรรมดาของสัตว์โลก จะห้ามจะป้องกันนั้นไม่ได้ หน้าที่ของบุตรนั้น เมื่อบิดามารดามีชีวิตอยู่ จำต้องปฏิบัติดูแลท่านจนเต็มสติกำลังความสามารถ เมื่อบิดามารดาถึงแก่ความตายลง บุตรก็มีหน้าที่หาเครื่องหุ้มห่อและหีบมาบรรจุศพ ทำการฝังเสียในที่อันสมควร เสร็จจากนั้นแล้ว ก็ทำการเซ่นไหว้บูชาอุทิศกุศลไปให้ท่านหน้าที่ของบุตรมีดังนี้ ก็ร่างที่นอนอยู่ในหีบศพนั้น เกี่ยวข้องเป็นอะไรกับเท่านเล่า จึงเศร้าโศกดูดังจะฆ่าตัวตายฉะนี้ เอี้ยจื๊อได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า ชายแก่ขอทานรูปร่างพิการสกปรกผู้นี้มาแต่ไหน ดูเครื่องใช้มีน้ำเต้าที่สะพายและไม้เท้าเหล็กที่ถือ ก็มีลักษณะแปลกกว่าขอทานอื่นแต่ที่น่าอัศจรรย์ก็คือกิริยาวาจาและสุ้มเสียง ช่างคล้ายกับอาจารย์ของเราเสียจริง ๆ จำจะเล่าความจริงให้แกได้รับรู้ไว้ ถึงแม้เราจะฆ่าตัวตาย ความติฉินนินทาก็คงจะลดหย่อนลงบ้าน เมื่อคิดดังนั้นแล้วจึงพูดว่า ท่านผู้เฒ่าข้าพเจ้านี่ชื่อเอี้ยจื๊อ ผู้ที่อยู่ในโลงนี้เป็นมารดาของข้าพเจ้าแล้วเอี้ยจื๊อก็เล่าเรื่องราวแต่ต้นจนจบให้ทิก๋วยลี้ฟัง แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้านี้เป็นคนเลวผิดสัญญาต่อครูบาอาจารย์ที่ได้มอบความไว้วางใจให้ และยังอกตัญญูต่อมารดาผู้ให้กำเนิด โดยมิได้อยู่ดูแลรักษาพยาบาลท่าน มีความผิดอย่างใหญ่หลวงถึงสองประการ คุณค่าของความเป็นคนดีเป็นอันปราศหมดไปดั่งนี้แล้ว ก็ควรตายเสียดีกว่า จะอยู่ไปให้ได้รับความอัปยศ ว่าแล้ว เอี้ยจื๊อก็ชักกั้นหยั่นจะเชือดคอตาย ทิก๋วยลี้เข้าแย่งเอากั้นหยั่นไว้แล้วพูดว่า อันความกตัญญูนั้นอยู่ที่ใจ การที่ท่านมีน้ำใจดังที่แสดงมานี้นับว่าเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยความกตัญญูกตเวทีเป็นอย่างดี อนึ่ง การที่ท่านติเตียนตัวเองว่าไม่มีความกตัญญูรู้คุณบิดามารดานั้น นั่นก็เป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงความกตัญญูอันแท้จริงที่มีอยู่ในตัวท่าน ขอท่านอย่าวิตกในการตายของมารดาท่านเลย ข้าพเจ้านี้เมื่อยังเที่ยวไปตามป่าเขาลำเนาไพรถิ่นทุรกันดาร ได้มีวาสนาพบกับท่านผู้เวิเศษท่านหนึ่งได้ให้ยาแก่ข้าพเจ้าไว้สำหรับช่วยผู้ที่มีคุณธรรมในเวลาคับขัน มารดาของท่านเพิ่งตายเพียงสองวัน ทั้งฤดูนี้ก็เป็นฤดูหนาว คงรักษาร่างกายไว้ให้คงยังไม่เน่าเปื่อย ลองเปิดโลง ละลายยากรอกให้กิน บางทีบุญวาสนาช่วยค้ำชูอาจจะฟื้นคืนมาได้ เอี้ยจื๊อได้ฟังดังนั้น ก็มีความดีใจยิ่งนักทรุดตัวลงกราบกับพื้น ทิก๋วยลี้ก็เอาไม้เท้างัดฝาโลงออก แล้วควักยาออกจาน้ำเต้าเม็ดหนึ่ง ใส่ลงในชามละลายกับน้ำ เอี้ยจื๊องัดขากรรไกรมารดา รับเอายามาเทกรอกเข้าไปจนหมด ครู่หนึ่งพอยาซึมซาบไปทั่ว มารดาเอี้ยจื๊อก็ได้สติฟื้นคืนเป็นมาเหมือนหลับไปแล้วตื่นขึ้น เอี้ยจื๊อสุดแสนจะดีใจช่วยกันกับคนใช้พยุงมารดาออกมาจากโลง ผลัดเครื่องแต่งตัวเสียใหม่แล้วให้นั่งบนที่อันควร แล้วจัดหาอาหารมาให้รับประทาน มีกำลังขึ้นมาเป็นปกติ เอี้ยจื๊อจึงบอกแก่มารดาว่า มารดาเจ็บหนักและได้หมดลมตายไปแล้วสองวัน หากได้ท่านอาจารย์ผู้นี้มาพบเข้า ได้ให้ยาวิเศษกินมารดาจึงได้มีชีวิตคืนมาได้ มารดาของเอี้ยจื๊อได้ฟังบุตรชายเล่าให้ฟังดังนั้น ก็มีความปิติยิ่งนัก ลุกขึ้นคุกเข่ากราบทิก๋วยลี้ด้วยความเคารพบูชาอันสูงสุด 3 ครั้ง แล้วก็ถามถึงชื่อและแซ่ เพื่อจักได้จำไว้เป็นที่เคารพบูชาต่อไปภายหน้า ทิก๋วยลี้คำนับตอบแล้วหันมาพูดกับเอี้ยจื๊อว่า เอี้ยจื๊อเอ๋ย เรานี้มิใช่คนอื่นใดดอก ที่แท้ก็คือลิเหียนอาจารย์ของเจ้าเอง ว่าแล้วทิก๋วยลี้ก็เล่าเรื่องราวให้ฟังทุกประการ แล้วหยิบเอายาออกจากน้ำเต้าเม็ดหนึ่ง ยื่นส่งให้บอกว่า ยานี้เป็นยาวิเศษ เจ้าจงกินเสียจะได้มีกำลังแข็งแรง ไม่เจ็บไข้จงตั้งใจปฏิบัติดูแลมารดาของเจ้า จนกว่าจะสิ้นอายุขัยเถิด เรากับเจ้าคงจะได้พบกันอีก พอเอี้ยจื๊อเอ่ยปากจะถามทิก๋วยลี้ก็หายวับไปกลับคืนสู่สำนัก ท่านลีเล่ากุนได้ตั้งให้ทิก๋วยลี้ เป็นเซียนลำดับที่หนึ่งในคณะเซียนทั้งแปดในบัดนั้น ฝ่ายเอี้ยจื๊อ ครั้นเห็นอาจารย์หายวับไปแล้ว จึงทั้งแม่ลูกต่างก็คุกเข่าหันหน้าไปทางทิศที่อาจารย์อยู่ กราบลงสามครั้ง ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เอี้ยจื๊อก็ประกอบการทำมาหากินเลี้ยงมารดา และเหตุที่ได้กินยาวิเศษจึงไม่เจ็บไข้ เป็นคนมีกำลังแข็งแรงยิ่งกว่าคนทั้งหลายในตำบลนั้น มารดาของเอี้ยจื๊ออยู่มาได้อีกสิบปี จึงถึงแก่ความตาย เอี้ยจื๊อครั้นทำศพมารดาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ออกไปบำเพ็ญพรตอยู่ ณ สำนักเก่าของอาจารย์อีกเป็นเวลาร้อยปี ทิก๋วยลี้จึงมาสั่งสอน จนเอี้ยจื๊อเปลี่ยนร่างจากมนุษย์กลับเป็นร่างเซียนผู้สำเร็จจึงได้นำไปอยู่ร่วมสำนักเดียวกันกับตนต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น