วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เซียนองค์ที่ 6


เซียนองค์ที่ 6 นางฮ่อเซียนโกว
ในครั้งสมัยแผ่นดินแห่งราชวงศ์ถัง อันเป็นรัชทายาทของพระนางบูเช็กเทียน ตรงกับ พ.ศ. ๑๒๓๓ ถึง ๑๒๕๕ มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ นางฮ่อสี เป็นบุตรสาวของฮ่อซูและนางพัวโถว มีฐานะดี อยู่ ณ ตำบลฮุ่นโบ่เคย ท้องที่อำเภอเจงเสีย เมืองกวางตุ้ง นางฮ่อสีเป็นหญิงที่มีรูปร่างดี และมีนิสัยรักสงบ และมีใจเมตตาปราณีไม่ว่าสัตว์และบุคคล คืนวันหนึ่ง นางฮ่อสีนอนหลับได้นิมิตฝันไปว่า มีเทพยดาองค์หนึ่งมาบอกให้กินแป้งผงฮุ่นบ๊อ ร่างกายจะผ่องใส ทั้งกำลังวังชาจะแข็งแรงว่องไว และทั้งอายุจะยืนนาน เมื่อนางฮ่อสีตื่นขึ้น ยังจำข้อความในความฝันนั้นได้แม่นยำ ก็ได้กระทำตามทุกประการ ตั้งแต่วันนั้น มาร่างกายก็ผ่องใสอิ่มเอมผิดกว่าสามัญชน ทั้งมีกำลังแข็งแรงว่องไว จะทำการงานสิ่งใดก็รวดเร็ว อยู่มาจนเป็นสาว บิดามารดาเห็นสมควรจะให้มีครอบครัวเหย้าเรือนได้ จึงปรึกษาตกลงว่า ถ้ามีฝ่ายชายใดมาสู่ขอหากมีฐานะไม่ต่ำต้อย ก็จะจัดการตกแต่งให้สิ้นกังวลไป นางฮ่อสีได้ทราบเรื่องดังนั้น ก็ได้ลั่นวาจาเป็นสัตย์ปฏิญาณออกไปว่าในชีวิตนี้ตนจะไม่ขอมีสามี ให้เข้ามาเป็นนายเหนือตนเลย มีเพียงบิดามารดาก็พอแล้ว บิดามารดาได้ฟังดังนั้น ก็ไม่กล้าที่จะบังคับเคี่ยวเข็ญประการใด โดยที่ได้เห็นบุตรสาวของตน ได้ประพฤติอยู่ในธรรมและถือศีลกินเจตลอดมา หากบังคับรุนแรงอะไรไปแล้ว บาปก็จะตกอยู่แก่ตน จึงเป็นอันปล่อยให้สุดแล้วแต่ใจ วันหนึ่ง นางฮ่อสีได้ออกไปเที่ยวหาความสงบและพักผ่อน ณ ฝั่งแม่น้ำหว่างโห เป็นด้วยกุศลแต่ปางก่อนชักนำ จึงได้พบทิก๋วยลี้และน่าไชหัว ซึ่งกำลังมาเที่ยวชมทำเลถิ่นที่นั้นเหมือนกัน เมื่อได้พบปะสั่งสนทนากันแล้วเซียนทั้งสองก็พิจารณาเห็นว่า หญิงสาวผู้นี้มีวาสนาอบรมมาเป็นเซียน ที่จะอยู่ในเมืองมนุษย์ต่อไปนั้นไม่ได้ จึงได้สอนมนต์และวิธีการบำเพ็ญ เพื่อจะได้สำเร็จเป็นเซียนในเวลาต่อไป นางฮ่อสีก็ได้เล่าบ่น จดจำวิธีที่เซียนทั้งสองแนะนำสั่งสอนให้ไว้โดยแม่นยำ ถูกถ้วนทุกประการแล้วเซียนทั้งสองก็ลาไป ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นางฮ่อสีก็ออกจากบ้านเที่ยวไปตามแนวป่าเชิงเขาที่สงบ พอตกค่ำจึงจะกลับบ้านเป็นดั่งนี้ทุกวัน การเดินทางของนางก็เดินได้รวดเร็ว ไม่มีผู้ใดสามารถจะเดินตามทันได้ แม้จะขี่ม้าตามก็ไม่ทัน เวลาก้าวเดินแลดูดุจจะลอยลิ่วไป ฉะนั้น เวลาตอนเย็นกลับบ้านก็มีผลไม้รสต่าง ๆ มาฝากบิดามารดาเสมอมิได้ขาด บิดามารดาได้ถามด้วยความสงสัยว่า เจ้าออกจากบ้านไปแต่เช้าแล้วกลับเอาต่อค่ำทุกวัน ซ้ำยังเอาผลไม้แปลกรสแปลกรูปมาให้นี้เจ้าไปเอามาจากแห่งใด นางก็ตอบว่าข้าพเจ้าได้เที่ยวไปในโลกของเซียน ณ แดนไกลเกินเขตมนุษย์ ได้ศึกษาลัทธิประเพณีและข้อปฏิบัติของเซียนกับเหล่าเซียนเจ๊ทั้งหลาย จึงได้สิ่งเหล่านี้มา บิดามารดาได้ฟังดังนั้น ก็มองดูบุตรสาวด้วยความชื่นชมและนับถืออยู่ในใจ นับตั้งแต่นั้นมา นางฮ่อสีจะเจรจาโต้ตอบกับผู้ใดก็กล่าวแต่ถ้อยคำที่เสนาะหู เป็นถ้อยคำอันเป็นธรรมภาษิตมีหลักฐานน่าเชื่อฟัง ดีเสียกว่าพวกที่เป็นนักปราชญ์อายุมากเสียอีก กิติศัพท์นี้ได้เลื่องลือไปจนพระนางบูเช็กเทียนทรงทราบ จึงมีท้องตรารับสั่งให้ขุนนางออกไปพาตัวนางฮ่อสีเข้าเฝ้า แต่พอพวกขุนนางไปรับพามาถึงกลางทางก็หายไป เที่ยวสืบหาทุกแห่งก็ไม่พบ จึงกลับมาเมืองหลวง กราบทูลให้พระนางบูเช็กเทียนทรงทราบ การเชิญตัวนางวฮ่อสีก็เป็นอันยุติลงเพียงนั้น ครั้นถึงศักราชเกงเหล็ก ตกในราว พ.ศ. ๑๒๔๐ ถึง ๑๒๕๓ มีผู้คนพลเมืองแลเห็นนางฮ่อสีเหยียบเมฆสีลอยอยู่เหนือโรงเจ ณ ตำบลฮุ่นโบ่เคย และในสมัยศักราชไต้เละประมาณ พ.ศ. ๑๓๐๙ ถึง ๑๓๒๑ ก็มีประชาชนพลเมืองในเมืองกวางตุ้งเห็นนางฮ่อสีอยู่ ณ ศาลาแห่งหนึ่งในเมืองนั้น และในตำนานได้ระบุไว้ว่า เซียนทิก๋วยลี้ได้มารับนางฮ่อสีไปเข้าอยู่ในคณะโป๊ยเซียนในลำดับเซียนองค์ที่หก ฉะนั้นประชาชนพลเมืองทั้งหลายจึงได้ขนานชื่อให้นางฮ่อสีว่า ฮ่อเซียนโกว ตั้งแต่นั้นมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น