วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เซียนองค์ที่ 8

เซียนองค์ที่ 8 เช่าก๊กกู๋
ในครั้งสมัยแผ่นดินซ้อง ประมาณ พ.ศ. ๑๕๐๓ ถึง พ.ศ. ๑๘๑๙ ในรัชกาลพระเจ้าซ้องไทโจ๊วกาวฮ่องเต้ หญิงคนหนึ่ง ชื่อนางเช่าสี ได้เป็นที่ฮองเฮาพระมเหษีเอก ครั้นเมื่อพระจ้าซ้องไทโจ๊วกาวฮ่องเต้สวรรคตแล้ว พระราชโอรสได้ขึ้นครองราชสมบัติ และได้ยกนางเช่าสีฮองเฮาพระราชมารดาขึ้นเป็นฮองไทเฮา (คือสมเด็จพระพันปีหลวง) พระนางเช่าสีฮองไทเฮามีน้องชายสองคน คนพี่ไม่ปรากฏชื่อ คนทั้งหลายเรียกกันว่า เช่าก๊กกู๋ ส่วนน้องชายชื่อ เช่ายี่ ทั้งสองคนมีนิสัยใจคอต่างกันไกล เช่าก๊กกู๋นั้นเป็นคนเที่ยงตรง มีนิสัยรักความสงบเมตตาปราณี ส่วนเช่ายี่นั้นประพฤติตนเป็นพาลข่มเหงรังแกราษฏร เพราะถือว่าเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ ที่ดินเรือกสวนไร่นาของใคร ถ้าชอบใจ ก็เข้ายึดครองรุกเอาตามชอบใจ ลูกสาวของใครที่ต้องตาต้องใจ ก็ฉุดคร่าเอามาโดยพละการ พวกสมุนบริวารก็ล้วนแต่เกกมะเหรกอันธพาล เที่ยวปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ตายก็ไม่มีโทษ ถ้ามีเรื่องฟ้องร้องไปถึงโรงศาล พวกผู้พิพาษาขุนศาลตุลาการก็ไม่กล้าที่จะพิจารณาหรือรับฟ้อง เหตุด้วยเกรงอำนาจเช่ายี่ ผู้เป็นน้องชายของนางเช่าสีฮองไทเฮา เช่าก๊กกู๋ ผู้พี่ชายได้เห็นและได้ฟังข่าวเรื่องราวอันเป็นความชั่วของน้องชายเช่นนั้น ก็ได้ว่ากล่าวตักเตือนอยู่เสมอ แต่เช่ายี่จะเชื่อฟังก็หาไม่ กลับโกรธและต่อเถียงต่าง ๆ นานา เช่าก๊กกู๋เห็นดังนั้น ก็มาคิดรำพึงแต่ผู้เดียวว่า การที่พี่สาวของเราได้เป็นถึงเมียพระเจ้าแผ่นดินที่ฮองเฮา จนกระทั่งได้มาเป็นแม่ของพระเจ้าแผ่นดินขึ้นเป็นที่ฮองไทเฮาเช่นนี้ ก็คงเป็นด้วยกุศลบุญของบรรพบุรุษของเราที่ได้กระทำไว้ต่อ ๆ กันมา จนถึงบุญบารมีของพี่สาวเรา ที่ได้กระทำมาแต่ปางก่อนประกอบเข้าด้วย จึงได้ดีมีเกียรติยศเป็นใหญ่ฉะนี้ ก็เมื่อกุศลบารมีส่งเสริมให้เป็นถึงฮองไทเฮา ก็เป็นผลพลอยให้เราซึ่งมิได้ทำคุณประโยชน์อะไรเลย พลอยได้รับผลมีเกียรติยศบรรดาศักดิ์สมบูรณ์พูนสุขไปด้วย ไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำลำบากยากกาย เหมือนกับชนทั้งหลาย และเราเองก็ได้ตั้งใจพยายามประพฤติตนเป็นคนดี รับราชการสนองพระเดชพระคุณในราชการแผ่นดินแห่งราชวงศ์ซ้อง ทั้งเพื่อรักษาเกียรติคุณของตระกูลวงศ์ด้วย แต่เช่ายี่น้องเรากลับมาประพฤติตนเป็นคนชั่วสันดานพาลต่าง ๆ ใช้อำนาจราชศักดิ์ที่ตนได้มาในทางต่ำทราม เป็นการทำลายศักดิ์ศรีของตระกูล คนเช่นเช่ายี่นี้เมื่อสิ้นชีวิตลง ก็ไม่แคล้วที่จะถูกเงี่ยมฬ่ออ๋องลงทัณฑ์ในขุมนรกอย่างทรมานแสนสาหัส แต่การกระทำของน้องชายเรานี้ คนที่มิรู้ก็เข้าใจไปว่า เราผู้เป็นพี่ชายคอยสนับสนุนให้ท้าย ก็ไม่แคล้วที่จะพ้นคำสาปแช่งของประชาชนพลเมืองไปได้ อย่ากระนั้นเลย เราอย่าอยู่ร่วมถิ่นที่กับคนชั่ว ควรจะปลีกตัวหลีกเลี่ยงไป จึงจะเป็นการสมควร ออกเที่ยวแสวงหาความสงบวิเวกอันเป็นความสันโดษร่มเย็นทางใจจะดีกว่า เมื่อคิดพิจารณาปลงใจตกเด็ดขาดแล้ว เช่าก๊กกู๋ก็ปฏิบัติตนอย่างนักบวช ถือศีลกินเจและออกหาที่วิเวกเพื่อบำเพ็ญภาวนา มอบทรัพย์สมบัติให้บุตรภรรยา และแจกเงินทองส่วนที่เหลือให้เป็นทานแก่คนยากคนจน แล้วก็สวมเครื่องแต่งกายแบบเต้าหยินบ่ายหน้าออกสู่ป่าชัฏ เช่าก๊กกู๋ ได้เที่ยวเดินทางแสวงหาที่สงบสงัดเพื่อให้เหมาะแก่การบำเพ็ญอยู่เป็นเวลาหลายวัน ก็ได้พบถ้ำที่เชิงเขาถ้ำหนึ่ง ดูทำเลสถานที่น่ารื่นรมย์ก็มีความยินดีเข้าจัดแจงปรับปรุงตบแต่งสถานที่ทั้งภายในและภายนอกให้สะอาด แล้วยับยั้งเข้าพำนักบำเพ็ญเพียรเจริญภาวนาอยู่ ณ ถ้ำนั้นเป็นเวลาหลายปี จนบรรลุผลสำเร็จมีฌานตบะอันกล้าแข็ง เหตุนี้ได้ล่วงรู้ไปถึงท่านลีเล่ากุน จึงได้มีบัญชาให้ฮั้นเจงหลีและลื่อท่งปินไปรับตัว เซียนทั้งสองรับบัญชาแล้ว ก็เหยียบเมฆเหาะมายังถ้ำที่อยู่ของเช่าก๊กกู๋ ลงยังพื้นดินแล้ว ได้เข้าคำนับทักทายปราศรัยกันกด้วยความยินดี ฮั้นเจงหลีจึงถามว่า การที่ท่านปฏิบัติบำเพ็ญเพียรทั้งนี้เพื่อประสงค์สิ่งใด เช่าก๊กกู๋จึงตอบว่าข้าพเจ้าไม่มีความประสงค์สิ่งภายนอกใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากความแท้จริงภายในเท่านั้น เซียนทั้งสองจึงย้อนถามอีกว่า ก็ที่ท่านว่า ความแท้จริงนั้นอยู่ที่ไหนเล่า เช่าก๊กกู๋ได้ฟัง ก็ยิ้มหัวแล้วชี้มือขึ้นไปเบื้องบน เซียนทั้งสองก็ว่าอีกว่า ก็ที่ท่านชี้ขึ้นไปเบื้องบนนั้นอยู่ที่ไหน ตอนนี้เช่าก๊กกู๋ผงกศีรษะหัวเราะชอบใจ แล้วลดมือลงมาชี้ที่หัวใจเซียนทั้งสองก็หัวเราะด้วยความพอใจแล้วว่า ความแท้จริงนั้นก็คือใจ การบำเพ็ญภาวนาก็เพื่อความเข้าถึงธาตุแท้แห่งใจ เมื่อท่านบรรลุผลดั่งนี้แล้ว ก็เป็นอันท่านได้รับค่าแห่งการบำเพ็ญเพียรสมปรารถนาแล้ว ขอเชิญท่านไปยังสำนักท่านอาจารย์ลีเล่ากุนด้วยกันเถิด เช่าก๊กกู๋ก็กระทำคำนับแล้วเหยียบเมฆเหาะไปยังเขาเล่งห่วยหวยพร้อมกัน ขณะนั้น ท่านลีเล่ากุนกำลังนั่งสนทนากับอวนคูเซียนอยู่ภายในถ้ำ ลีเล่ากุนได้กล่าวกับอวนคูเซียนว่า บัดนี้ในคณะโป๊ยเซียนก็ได้มีประจำอยู่เจ็ดตำแหน่งแล้ว ยังคงเหลืออยู่แต่ตำแหน่งที่แปดอีกตำแหน่งเดียว อันเป็นตำแหน่งของเช่าก๊กกู๋เท่านั้น บัดนี้ เช่าก๊กกู๋ก็ได้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติได้บรรลุผลสำเร็จถึงภาวะแห่งความเป็นเซียนและขณะนี้ฮั้นเจงหลีและลื่อท่งปินได้ไปรับ กำลังจะมาถึงอยู่แล้ว ท่านจงไปต้อนรับเถิด อวนคูเซียนก็ลุกขึ้นกระทำคำนับ ออกไปคอยอยู่ที่ประตูถ้ำ ก็พอเห็นทิก๋วยลี้ เจียงกั๋วเล้า น่าไชหัว ฮั้นเซียงจื๊อ และฮ่อเซียนโกว ยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว ก็กระทำคำนับซึ่งกันและกัน ทิก๋วยลี้ จึงว่า บัดนี้ฮั้นเจงหลีและลื่อท่งปินได้ไปรับเช่าก๊กกู๋ ซึ่งจะได้รับตำแหน่งเข้าอยู่ในลำดับเซียนองค์ที่แปด จึงได้มาพร้อมกัน คอยต้อนรับเพื่อความพร้อมหน้า เป็นองค์สามัคคีตามบัญชาของท่านอาจารย์ลีเล่ากุน อวนคูเซียนจึงว่า เป็นที่ควรปิติยินดียิ่งนัก ในการที่คณะโป๊ยเซียนได้มีสภาพครบองค์คณะโดยบริบูรณ์ในเวลาอันรวดเร็ว (เวลารวดเร็วอย่างของเซียนก็นับเป็นพัน ๆ ปีของมนุษย์) ถ้าจะหวนระลึกไปถึงกาลเวลา ที่อาจารย์ทิก๋วยลี้สำเร็จมาจนถึงบัดนี้ ก็เป็นเวลาในโลกมนุษย์กว่าพันปี ดูแล้วก็นานหนักหนา แต่สำหรับของเราก็คล้ายกับวันสองวันเท่านั้นเอง เซียนทั้งหลายที่ยืนประชุม ณ ที่นั้นต่างก็หัวเราะ ก็พอฮั้นเจงหลีและลื่อท่งปินนำเช่าก๊กกู๋มาถึงต่างได้กระทำคำนับ กระทำความรู้จักคารวะต่อกันตามลำดับเก่าใหม่ เสร็จแล้ว ก็พอกันเข้าไปภายในถ้ำ กระทำสักการะเคารพต่อท่านลีเล่ากุน แล้วต่างก็เข้านั่ง ณ ที่อันเป็นประจำของตน แต่เช่าก๊กกู๋ยังคงยืนพนมมืออยู่ เพราะยังมิได้รับบัญชาประการใด เมื่อนั่งกันเรียบร้อยแล้ว ท่านลีเล่ากุนจึงว่า การที่เช่าก๊กกู๋ได้เสียสละความผาสุข ตลอดจนยศถาบรรดาศักดิ์ทรัพย์สมบัติและครอบครัว ซึ่งเป็นวิสัยของชาวโลก ออกมาประพฤติบำเพ็ญเพียร จนบรรลุผลสำเร็จ เข้าสู่ภาวะอันเลิศแห่งความเป็นเซียนดั่งนี้เป็นที่น่าปิติยินดียิ่งนัก บัดนี้เราขอรับเช่าก๊กกู๋ เข้าอยู่ในตำแหน่งเซียนเป็นลำดับองค์ที่แปดสืบไป เป็นอันได้ครบองค์คณะแห่งโป๊ยเซียน ที่ได้เลือกแล้ว และทรงคุณโดยประการทั้งปวง เซียนทั้งแปดองค์เมื่อเข้าประจำลำดับตำแหน่งครบแล้ว ต่างก็ได้กระทำสักการะ กราบลงอีกครั้งหนึ่ง แล้วเข้าประจำที่ของแต่ละคน ได้สนทนาซักถามถึงความเป็นไป ตลอดจนข้อธรรมทั้งปวงพอเป็นเวลาอันสมควรแล้ว ต่างก็กราบลาท่านลีเล่ากุนและคำนับลาอวนคูเซียนกลับไปยังสำนักแห่งตน ตั้งแต่บัดนั้นเซียนทั้งแปดต่างก็มีสามัคคีธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะปฏิบัติสิ่งใดก็พร้อมเพรียงกัน ประกอบทั้งมีเดชอำนาจอันสมบูรรณ์ จึงเป็นที่รักใคร่นับถือของเหล่าเทพยดาและเหล่าเซียนใหญ่น้อยทั้งหลาย ฯลฯ

เซียนองค์ที่ 7


เซียนองค์ที่ 7 ฮั้นเซียงจื๊อ
ในสมัยแผ่นดินพระเจ้าถังเต๊กจงฮ่องเต้ ประมาณ พ.ศ. ๑๓๒๓ ถึง พ.ศ. ๑๓๔๕ มีชายหนุ่มคนหนึ่งแซ่ฮั้น ชื่อเซียงจื๊อ เป็นหลานของฮั้นหยู เสนาบดีกระทรวงวัง ฮั้นเซียงจื๊อนั้นมีนิสัยใจคอเยือกเย็นลึกซึ้ง รักความสงบวิเวก ไม่ชอบการประดับตบแต่งที่สวยงามฉูดฉาด ไม่เข้าใกล้กับสตรี เมื่ออยู่สำนักมักบำเพ็ญภาวนาสมาธิมิได้ขาด ฮั้นหยูผู้เป็นลุงก็คอยว่ากล่าวตักเตือน ให้เอาใจใส่ในการเล่าเรียนอักษรศาสตร์ เพื่อจะได้เข้ารับราชการเฝ้าแหน มียศถาบรรดาศักดิ์สืบวงศ์ตระกูลต่อไปภายหน้า แต่ฮั้นเซียงจื๊อกลับตอบว่าการศึกษาเล่าเรียนของข้าพเจ้ากับของท่านลุงนั้นไม่เหมือนกัน กับอีกทั้งอุปนิสัยใจคอระหว่างท่านลุงกับข้าพเจ้า ก็ห่างไกลกันมาก ท่านลุงจึงมิได้เข้าใจในตัวข้าพเจ้า ฮั้นหยูได้ฟังดังนั้นก็ให้ขัดเคืองเป็นอันมาก ที่หลานมาบังอาจโต้ตอบเป็นเชิงสอนเช่นนั้น จึงไม่เอ่ยปากว่ากล่าวอีกตั้งแต่วันนั้นมา มาวันหนึ่งฮั้นเซียงจื๊อได้ออกท่องเที่ยว เพื่อแสวงหาอาจารย์ผู้ที่มีความรู้ในทางบำเพ็ญตบะฌาณ จนมาถึงศาลาริมทาง ณ ตำบลหนึ่ง ได้พบกับลื่อท่งปิน ได้กระทำคำนับคารวะและเริ่มสนทนาปราศรัยในหลักธรรมและหลักปฏิบัติต่าง ๆ เป็นที่ซาบซึ้งแจ่มแจ้ง ฮั้นเซียงจื๊อมีความเคารพเลื่อมใสเป็นอันมาก จึงได้กระทำสักการะกราบไหว้มอบตัวเป็นศิษย์ ลื่อท่งปินก็รับเอาตัวไปสำนัก ให้เล่าเรียนฝึกฝนวิทยาการแห่งเซียนปฏิบัติด้วย จนมีความคล่องแคล่วชำนิชำนาญ แต่ยังมิกลายร่างเป็นเซียน ครั้นมาคราวหนึ่งฮั้นเซียงจื๊อได้เที่ยวมาถึงตำบลหนึ่ง เห็นต้นท้อต้นหนึ่งมีผลทั้งใหญ่และแดงงามกว่าเพื่อน ก็เอื้อมไปเหนี่ยวกิ่งปลิดเอามากิน ส่วนเท้าเหยียบกิ่งล่างกัดกินจกหมดลูกแต่ยังอร่อยและทั้งยังไม่อิ่มดี ก็เอื้อมจะไปปลิดเอาอีกลูกหนึ่งที่ใหญ่เกือบจะไล่เลี่ยกัน แต่พอเอื้อมมือไปจะปลดก็พอดีกิ่งที่เหยียบทานน้ำหนักไม่ได้ก็หักโผง ฮั้นเซียงจื๊อตกลงมาถึงโคนต้นก็มิได้บาดเจ็บอย่างใด แต่ทว่าผิวกายอันเป็นเนื้อหนังเรือนร่างมนุษย์นั้นได้จางคลายหายไป กลายเป็นเรือนร่างของเซียนผู้สำเร็จ สดสะอาดผ่องใสเปล่งปลั่งขึ้นทั้งทรงกำลังฤทธิ์ ครั้นฮั้นเซียงจื๊อได้บรรลุถึงภาวะเป็นเซียนด้วยปาฏิหาริย์เช่นนั้นแล้ว ก่อนอื่นก็นึกถึงฮั้นหยูผู้เป็นลุง ที่ยังมีทิฐิความดื้ออวดรู้อยู่เป็นอันมาก ใคร่ที่จะทรมาน ซึ่งขณะนี้ยกกองออกมาตั้งพิธีขอฝนอยู่นอกเมืองหลวง เนื่องจากปีนั้นฝนแล้งเป็นเวลานาน พระเจ้าถังเต็กจงฮ้องเต้จึงทรงโปรดให้ฮั้นหยู เป็นเจ้าพิธีขอฝน ฮั้นหยูได้ทำพิธีขอฝนเป็นพิธีใหญ่อยู่หลายวัน ฝนก็ยังไม่ตก ราษฏรชาวเมืองที่ตั้งใจคอยน้ำฝน ต่างก็พากันบ่นร่ำร้องกันทั้งเมืองทำให้ฮั้นหยูจวนจะถูกถอดยศปลดออกจากตำแหน่ง ฮั้นเซียงจื๊อล่วงรู้ด้วยฌานเห็นว่า ถ้าไม่ไปช่วยไว้แล้ว น่าที่ลุงผู้มีพระคุณแก่ตนจะต้องได้รับความอัปยศในครั้งนี้เป็นแน่ และทั้งจะได้ทรมานให้หายความอวดดีเสียบ้าง จึงแปลงเพศเป็นเต้าหยิน ถือป้ายอันหนึ่ง เดินเคาะกระดิ่งมา บนป้ายนั้นเขียนว่า เราเป็นพ่อค้าน้ำฝน ใครต้องการก็ให้ซื้อเอา พวกพนักงานทั้งหลายที่อยู่ในโรงพิธีเห็นดังนั้น ก็นำความไปแจ้งแก่ฮั้นหยู ฮั้นหยูได้ทราบดังนั้นก็ดีใจ รีบให้คนไปเชิญตัวเข้ามา พอเต้าหยินแปลงเข้ามาฮั้นหยูก็ลุกขึ้นต้องรับกระทำคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าได้รับรับสั่งให้ทำพิธิขอฝน กาลก็ล่วงมาหลายเวลาแล้วก็ไม่อาจที่จะทำให้ฝนตกได้ ขอท่านซินแสได้โปรดเมตตาช่วยข้าพเจ้าสักครั้ง จะไม่ลืมคุณเลย เต้าหยินแปลงก็ว่าได้ ไม่ยากอะไร ว่าแล้วก็เข้าไปในโรงพิธี นั่งภาวนาเรียกลมฝนเพียงไม่กี่อึดใจ เมฆดำก็ตั้งเค้าใหญ่หนาแน่นมาทั้งสี่ทิศชั่วครู่เดียวฝนก็เทลงมาขนานใหญ่ จนน้ำนองท่วมถนนหนทางทุกแห่ง ฝ่ายฮั้นหยูยังไม่หายอวดดี กลับพูดว่าฝนที่ตกนี้บางทีจะเป็นพิธีของข้าพเจ้า ที่ได้กระทำมาหลายวันจนครบกำหนด คงมิใช่จาออำนาจพิธีของท่านดอกกระมัง เต้าหยินแปลงก็ว่า เหตุใดท่านจึงกลับมาพูดเช่นนั้นเล่า ฝนตกนี้ตกด้วยอำนาจพิธีของข้าพเจ้า ๆ มีหลักฐานที่จะให้ดู ฮั้นหยูจึงว่าท่านมีหลักฐานอะไรข้าพเจ้าใคร่ทราบ เต้าหยินจึงว่า ฝนที่ข้าพเจ้าขอมานี้ ที่ต้นกลางแจ้งจะปรากฏมีน้ำซึมเปียกดินลงไปห้าคืบ ฮั้นหยูก็ใช้ให้พนักงานขุดที่ดินพิสูจน์ ก็สมจริงดังคำของเต้าหยินนั้น ก็ยอมรับว่าจริงดังนั้น เมื่อเสร็จเรื่องแล้วเต้าหยินแปลงก็ลากลับไป วันหนึ่ง ฮั้นหยูได้ทำบุญวันเกิด พวกข้าราชกากรขุนนางและเพื่อนฝูงญาติมิตรมากหลายต่างก็นำของขวัญต่าง ๆ มาอวยพร แล้วก็เข้านั่งโต๊ะเสพสุราอาหารสนทนากันเป็นที่เบิกบาน ขณะนั้นฮั้นเซียงจื๊อก็ได้เข้ามาให้พรแก่ฮั้นหยู ฮั้นหยูเห็นหลานชาย ก็ดีใจ แต่แกล้งทำเป็นวางเฉยอย่างธรรมดา ครั้นฮั้นเซียงจื๊อเข้านั่งโต๊ะเสพสุราอาหารกับคนทั้งหลาย และสนทนากันอยู่นั้น ฮั้นหยูก็แกล้งถามว่า เจ้าจากเราไปแสวงหาวิชาเล่าเรียนอยู่หลายปีคงจะมีความรู้กว้างขวาง ฉะนั้นไหน ๆ วันนี้ก็เป็นวันมงคลของเรา เจ้าลองแต่งฉันท์ที่มีความหมาายไพเราะให้คนทั้งหลายในที่นี้ ได้ฟังเล่นพอเพลินใจสักบทเป็นไรและทั้งเป็นการแสดงภูมิปัญญาของเจ้าด้วย ฮั้นเซียงจื๊อได้ฟังดังนั้นก็รู้ทันทีว่า ลุงของตนมีเจตนาจะให้ได้อาย จึงแกล้งผูกคำแต่งฉันท์ขึ้นบทหนึ่ง เป็นการอวดอำนาจฤทธิ์ของตนว่า มีอยู่เพียงใด จะทำอะไรก็ได้ จะไปไหนมาไหนก็ได้ดังใจ แขกทั้งหลายได้อ่านแล้วต่างก็ชมว่าไพเราะ และทั้งอัศจรรย์ในอำนาจฤทธิ์ที่อวดอ้างนั้น แต่ก็มิกล้าจะพูดจาซักถามอย่างใด เพียงแต่นิ่งอยู่ ส่วนฮั้นหยูนั้นอดไม่ได้จึงพูดว่า เจ้านี้มีฤทธิ์มีอำนาจถึงเพียงนั้นเทียวหรือ เห็นทีจะพูดอวดให้คำฉันท์ไพเราะกระมัง ถ้าจริงดังคำอ้างนี้แล้วก็ลองทำสุราอย่างดี และดอกไม้งาม ๆ มาให้เราดูสักทีจึงจะเชื่อ ฮั้นเซียงจื๊อได้ฟังดังนั้นก็ให้เอาไหสุราออกมาตั้งต่อหน้าคนทั้งปวง แล้วเอาอ่างทองคำปิดปากไห ภาวนาเป่าลงไป แล้วเปิดออก ก็ปรากฏมีน้ำสุราเต็มไห ส่งหลิ่นหอมชวนดื่มฟุ้งออกมา ต่อจากนั้นก็ให้ยกกระถางเปล่าออกมาตั้ง แล้วให้คนใช้ตักดินมาใส่จนเต็ม แล้วเสกน้ำรดลงไป ทันใดนั้นต้นไม้ก็งอกขึ้นมาต้นหนึ่ง สูงขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วก็ผลิดอกออกเป็นดอกโบตั๋น แต่สีดอกเป็นสีเขียวแก่มี ๑๔ กลีบ มีอักษรปรากฏอยู่กลีบละหนึ่งตัรวมเป็นคำฉันท์สองบท ว ความเป็นเชิงปริศนาว่า ดั่งนี้
เมฆบังพนัศเถื่อน ทิศก็เลือนมิแลเห็น
ด่านลำก็ลำเค็ญ หิมะท่วมอกอาชาฯ
ฮั้นหยูอ่านแล้วก็ว่า ความหมายของฉันท์เป็นอย่างไรไม่สามารถจะแปลตีความได้ ฮั้นเซียงจื๊อจึงว่า สิ่งที่บันดาลให้เห็นขึ้นมาลอย ๆ เช่นนี้ ผู้มิใช่ปราชญ์แล้ว ก็ไม่สามารถจะล่วงรู้ได้ เมื่อถึงคราวถึงเวลานั้นแล้วจึงจะทราบบรรดาแขกทั้งหลายต่างก็เห็นด้วยกับฮั้นเซียงจื๊อ เสร็จจากการเลี้ยงแล้ว ฮั้นเซียงจื๊อก็ลากลับ ได้ท่องเที่ยวไปชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว ก็เข้าร่วมกับคณะโป๊ยเซียนเป็นเซียนองค์ที่เจ็ด แต่นั้นมา ครั้งถึงศักราชง่วนหัว อันเป็นปีที่สิบสี่ในรัชกาลของพระเจ้าถังเฮี่ยนจงฮ่องเต้ ประมาณ พ.ศ. ๑๓๖๒ ราชทูตที่พระเจ้าถังเฮี่ยนจงฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้ไปยืมพระพุทธหัตถธาตุ ณ เมืองหงษาวดีนั้น ได้อัญเชิญพระพุทธหัตถธาตุมาถึงเมืองหลวง พระเจ้าถังเฮี่ยนจงฮ่องเต้จึงทรงโปรดให้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานในพระบรมมหาราชวัง เหตุที่ได้ทรงแต่งตั้งราชทูตให้ไปขอยืมพระพุทธหัตถธาตุมาจากเมืองหงษาวดีครั้งนี้ ก็เนื่องมาจากเหตุที่มีราชทูตต่างเมือง นำเครื่องราชบรรณาการมาถวาย และได้กราบทูลให้ทรงทราบว่า ที่พระเจดีย์เมืองหงษาวดีนั้นมีพระพุทธหัตถธาตุ พอถึงกำหนดครบรอบสามสิบปีพระมหากษัตริย์แห่งเมืองนั้น ได้ทรงโปรดให้เปิดพระเจดีย์ให้ประชาชนพลเมืองได้นมัสการสักการะบูชา เป็นงานพิธีมหกรรมเอิกเกริกครั้งหนึ่ง และทุกคราวที่เปิดพระเจดีย์เพื่อบูชาสักการะพระพุทธหัตถธาตุนี้ ในปีนั้นฝนฟ้าก็จะตกบริบูรณ์และต่อไปอีกเป็นเวลาหลายปี บ้านเมืองก็ร่มเย็นเป็นสุขสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร พระเจ้าถังเฮี่ยนจงฮ่องเต้ จึงได้ทรงส่งราชทูตเจริญทางพระราชไมตรีและขอยืมพระพุทธหัตถธาตุมายังเมืองหลวง และได้ทรงกระทำสักการะบูชาภายใน พระบรมมหาราชวังเป็นเวลาสามวัน แล้วจึงโปรดให้อัญเชิญไปประดิษฐานตามอารามต่าง ๆ แห่งละสองวันบ้างสามวันบ้าง แล้วแต่ว่าเป็นอารามเล็กใหญ่สำคัญและไม่สำคัญตามลำดับ เพื่อให้ประชาชนพลเมือง ณ ที่นั้นได้กระทำสักการะบูชา บรรดาพวกข้าราชการขุนนางน้อยใหญ่ตลอดจนประชาราษฏรตามท้องที่ ต่างก็พากันเข้าทำการกราบไหว้สักการะบูชากันอย่างเนืองแน่นทุกวัน เพราะเกรงจะครบกำหนดซึ่งจะต้องส่งพระพุทธหัตถธาตุกลับคืนไป ฝ่ายฮั้นหยูผู้เป็นเสนาบดีกระทรวงวังมีความไม่เชื่อถือ เห็นว่าไร้สาระหาประโยชน์มิได้ จึงได้ถวายหนังสือทูลเกล้า ฯ ถวายฉบันหนึ่ง ติเตียนพระพุทธหัตถธาตุว่า เป็นแต่เพียงกระดูกนิ้วมือไม่ควรที่จะไปหลงนับถือกราบไหว้บูชา สมควรเอาไปเผาไฟแล้วทิ้งน้ำเสีย เพื่อมิให้คนชั้นหลังลุ่มหลงเชื่อถือต่อไป พระเจ้าถังเฮี่ยนจงฮ่องเต้ทรงพระพิโรธที่ฮั้นหยูบังอาจตำหนิพระองค์ และแสดงความลบหลู่สิ่งเคารพที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นการผิดวิสัยของคนดีมีปัญญาจะกระทำ ทรงโปรดให้ลงพระราชอาญาประหารชีวิต แต่พวกขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งหลายต่างก็ช่วยกันกราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษ เพราะเห็นว่าฮั้นหยูเป็นคนซื่อตรงและกราบทูลไปด้วยใจซื่อ มิคิดให้รอบคอบว่าสูงต่ำควรมิควรประการใด พระเจ้าถังเฮี่ยนจงฮ่องเต้ก็ทรงโปรดให้งดโทษประหาร แต่ให้ลดตำแหน่ง และเนรเทศให้ไปเป็นเจ้าเมืองเชียวเอี๋ยงซึ่งเป็นเมืองห่างไกลทุรกันดารยิ่ง ฮั้นหยูเดินทางออกจากเมืองหลวงรอนแรมมาเป็นเวลาสิบกว่าวันระยะทางใกล้เมืองด่านลำ อันตั้งอยู่ในที่ราบเทือกเขาฉิ้นเนี้ย เวลานั้นเป็นฤดูเหมันต์อากาศหนาวจัดหิมะลงตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ม้าที่ฮั้นหยูขี่เกือบจะขยับขาเดินไม่ได้เพราะความหนาวเหน็บ ตัวฮั้นหยูเองก็อยู่ในวัยชรา เมื่อนั่งมาบนหลังม้าเป็นเวลานานทั้งถูกความหนาวเข้าบีบคั้นเช่นนั้น ก็เกือบจะหมดสติตัวแข็งตาย ขณะที่นั่งทอดอาลัยชีวิตมองดูหิมะที่ขาวโพลนเต็มไปทั่วนั้น ก็พอเห็นชายคนหนึ่ง วิ่งลิ่วมาบนพื้นหิมะครั้นเข้ามาใกล้จนถึงม้า จึงจำได้ว่า เป็นฮั้นเซียงจื๊อกระทำคำนับแล้วถามว่า ท่านลุงยังจำฉันท์สองบทบนกลีบดอกโบตั๋นในวันกินเลี้ยงทำบุญอายุได้หรือไม่ ฮั้นหยูมิได้ตอบแต่ถามว่า ที่นี่ตำบลอะไร ฮั้นเซี่ยงจื๊อตอบว่าที่นี่เป็นเขตเมืองด่านลำ ฮั้นหยูได้ฟังดังนั้นก็ถอนใจใหญ่แล้วว่า ชีวิตของมนุษย์นั้นจะดีร้ายอย่างไรฟ้าดินย่อมกำหนดไว้แล้ว ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ หากผลบาปตามทันก็ย่อมได้รับผลร้าย ถ้าบุญตามทันก็ได้รับผลเป็นความสุขดุจเงาที่ติดตามตัวฉะนั้น แต่ฉันท์ที่ปรากฏบนกลีบดอกไม้นั้น ยังไม่เต็มความหมาย เราจะแต่งเพิ่มเติม ให้ได้ใจความเต็มความหมายนั้น ว่าแล้วฮั้นหยูก็กล่าวฉันท์ แต่งเพิ่มเติมใส่เข้าเป็นบาทต้นให้ฮั้นเซียงจื๊อฟังดังต่อไปนี้
ปุพพัณหเข้าทูลสาร นฤบาลสิโกรธา
ตกบ่ายประทานตรา เนรเทศ ณ เชียวเอี๋ยง
มัคค์จรัลแปดร้อยโยชน์ ธ ทรงโปรดให้จากเวียง
เพราะบาปขนาบเคียง จึ่งวิปโยคระกำเป็น ฯ
เมฆบังพนัศเถื่อน ทิศก็เลือนมิแลเห็น
ด่านลำก็ลำเค็ญ หิมะติดอกอาชา
เจ้าจรจากถิ่นไกล มุ่งจักช่วยธุระมา
จุ่งเก็บอัฐข้า ไว้ ณ ฝั่งสมุทร์เจียง ฯ
ฮั้นเซียงจื๊อได้พาฮั้นหยูผู้เป็นลุงเข้าไปพัก ณ เมืองด่านลำ มาบัดนี้ฮั้นหยูก็หมดพยศหมดความทะนงตัว มีความเลื่อมใสและเชื่อถือในตัวฮั้นเซียงจื๊อผู้เป็นหลานอย่างแท้จริง ในคืนวันนั้น หลังจากที่ได้เข้ามาพักผ่อน ณ ที่พัก พอสบายหายหนาวเหน็ดเหนื่อยแล้ว สองคนลุงหลานได้นั่งสนทนากันถึงความเป็นไปของโลกทั้งปัจจุบัน อดีต และอนาคต และธรรมอันละเอียดสุขุม ตลอดจนถึงวิธีการบำเพ็ญเพียรฌาณ สมาธิ จนถึงขั้นสำเร็จเป็นเซียน ฮั้นหยูยิ่งได้สนทนา ยิ่งได้ฟังถ้อยคำชี้แจงแนะนำและอธิบายจากฮั้นเซียงจื๊อ ก็ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสและนับถือหลานชายยิ่งขึ้น ครั้นเวลารุ่งเช้า ฮั้นเซียงจื๊อก็ส่งยาให้แก่ฮั้นหยูห่อหนึ่งและสั่งว่า ยานี้ท่านลุงกินเพียงเม็ดเดียวจะทำให้ร่างกายทนหนาวทนร้อนไปได้หนึ่งปี ว่าแล้วก็คำนับลา ฮั้นหยูเห็นดังนั้นก็ใจหาย ฮั้นเซียงจื๊อจึงว่าอีกว่ายานี้นอกจากกันหนาวแล้ว ท่านก็จะไม่เจ็บไข้ และถึงเมืองเชียงเอี๋ยงด้วยความสะดวกสบาย ในไม่ช้าพระเจ้าถังเฮี่ยนจงฮ่องเต้ ก็จะทรงโปรดเรียกกลับไปรับราชการตามเดิม ฮั้นหยูก็ถามอีกว่าแล้วต่อไปข้างหน้าลุงกับหลานจะได้พบกันอีกหรือไม่ ฮั้นเซียงจื๊อก็ตอบว่า นั่นเป็นการภายหน้าจึ่งค่อยรู้ ขอให้ท่านลุงจงปฏิบัติตนให้ดี เป็นไปตามที่ได้สนทนากันไว้นั้นก็แล้วกัน ว่าแล้วก็กระทำคำนับหายไปจากที่นั้น

เซียนองค์ที่ 6


เซียนองค์ที่ 6 นางฮ่อเซียนโกว
ในครั้งสมัยแผ่นดินแห่งราชวงศ์ถัง อันเป็นรัชทายาทของพระนางบูเช็กเทียน ตรงกับ พ.ศ. ๑๒๓๓ ถึง ๑๒๕๕ มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ นางฮ่อสี เป็นบุตรสาวของฮ่อซูและนางพัวโถว มีฐานะดี อยู่ ณ ตำบลฮุ่นโบ่เคย ท้องที่อำเภอเจงเสีย เมืองกวางตุ้ง นางฮ่อสีเป็นหญิงที่มีรูปร่างดี และมีนิสัยรักสงบ และมีใจเมตตาปราณีไม่ว่าสัตว์และบุคคล คืนวันหนึ่ง นางฮ่อสีนอนหลับได้นิมิตฝันไปว่า มีเทพยดาองค์หนึ่งมาบอกให้กินแป้งผงฮุ่นบ๊อ ร่างกายจะผ่องใส ทั้งกำลังวังชาจะแข็งแรงว่องไว และทั้งอายุจะยืนนาน เมื่อนางฮ่อสีตื่นขึ้น ยังจำข้อความในความฝันนั้นได้แม่นยำ ก็ได้กระทำตามทุกประการ ตั้งแต่วันนั้น มาร่างกายก็ผ่องใสอิ่มเอมผิดกว่าสามัญชน ทั้งมีกำลังแข็งแรงว่องไว จะทำการงานสิ่งใดก็รวดเร็ว อยู่มาจนเป็นสาว บิดามารดาเห็นสมควรจะให้มีครอบครัวเหย้าเรือนได้ จึงปรึกษาตกลงว่า ถ้ามีฝ่ายชายใดมาสู่ขอหากมีฐานะไม่ต่ำต้อย ก็จะจัดการตกแต่งให้สิ้นกังวลไป นางฮ่อสีได้ทราบเรื่องดังนั้น ก็ได้ลั่นวาจาเป็นสัตย์ปฏิญาณออกไปว่าในชีวิตนี้ตนจะไม่ขอมีสามี ให้เข้ามาเป็นนายเหนือตนเลย มีเพียงบิดามารดาก็พอแล้ว บิดามารดาได้ฟังดังนั้น ก็ไม่กล้าที่จะบังคับเคี่ยวเข็ญประการใด โดยที่ได้เห็นบุตรสาวของตน ได้ประพฤติอยู่ในธรรมและถือศีลกินเจตลอดมา หากบังคับรุนแรงอะไรไปแล้ว บาปก็จะตกอยู่แก่ตน จึงเป็นอันปล่อยให้สุดแล้วแต่ใจ วันหนึ่ง นางฮ่อสีได้ออกไปเที่ยวหาความสงบและพักผ่อน ณ ฝั่งแม่น้ำหว่างโห เป็นด้วยกุศลแต่ปางก่อนชักนำ จึงได้พบทิก๋วยลี้และน่าไชหัว ซึ่งกำลังมาเที่ยวชมทำเลถิ่นที่นั้นเหมือนกัน เมื่อได้พบปะสั่งสนทนากันแล้วเซียนทั้งสองก็พิจารณาเห็นว่า หญิงสาวผู้นี้มีวาสนาอบรมมาเป็นเซียน ที่จะอยู่ในเมืองมนุษย์ต่อไปนั้นไม่ได้ จึงได้สอนมนต์และวิธีการบำเพ็ญ เพื่อจะได้สำเร็จเป็นเซียนในเวลาต่อไป นางฮ่อสีก็ได้เล่าบ่น จดจำวิธีที่เซียนทั้งสองแนะนำสั่งสอนให้ไว้โดยแม่นยำ ถูกถ้วนทุกประการแล้วเซียนทั้งสองก็ลาไป ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นางฮ่อสีก็ออกจากบ้านเที่ยวไปตามแนวป่าเชิงเขาที่สงบ พอตกค่ำจึงจะกลับบ้านเป็นดั่งนี้ทุกวัน การเดินทางของนางก็เดินได้รวดเร็ว ไม่มีผู้ใดสามารถจะเดินตามทันได้ แม้จะขี่ม้าตามก็ไม่ทัน เวลาก้าวเดินแลดูดุจจะลอยลิ่วไป ฉะนั้น เวลาตอนเย็นกลับบ้านก็มีผลไม้รสต่าง ๆ มาฝากบิดามารดาเสมอมิได้ขาด บิดามารดาได้ถามด้วยความสงสัยว่า เจ้าออกจากบ้านไปแต่เช้าแล้วกลับเอาต่อค่ำทุกวัน ซ้ำยังเอาผลไม้แปลกรสแปลกรูปมาให้นี้เจ้าไปเอามาจากแห่งใด นางก็ตอบว่าข้าพเจ้าได้เที่ยวไปในโลกของเซียน ณ แดนไกลเกินเขตมนุษย์ ได้ศึกษาลัทธิประเพณีและข้อปฏิบัติของเซียนกับเหล่าเซียนเจ๊ทั้งหลาย จึงได้สิ่งเหล่านี้มา บิดามารดาได้ฟังดังนั้น ก็มองดูบุตรสาวด้วยความชื่นชมและนับถืออยู่ในใจ นับตั้งแต่นั้นมา นางฮ่อสีจะเจรจาโต้ตอบกับผู้ใดก็กล่าวแต่ถ้อยคำที่เสนาะหู เป็นถ้อยคำอันเป็นธรรมภาษิตมีหลักฐานน่าเชื่อฟัง ดีเสียกว่าพวกที่เป็นนักปราชญ์อายุมากเสียอีก กิติศัพท์นี้ได้เลื่องลือไปจนพระนางบูเช็กเทียนทรงทราบ จึงมีท้องตรารับสั่งให้ขุนนางออกไปพาตัวนางฮ่อสีเข้าเฝ้า แต่พอพวกขุนนางไปรับพามาถึงกลางทางก็หายไป เที่ยวสืบหาทุกแห่งก็ไม่พบ จึงกลับมาเมืองหลวง กราบทูลให้พระนางบูเช็กเทียนทรงทราบ การเชิญตัวนางวฮ่อสีก็เป็นอันยุติลงเพียงนั้น ครั้นถึงศักราชเกงเหล็ก ตกในราว พ.ศ. ๑๒๔๐ ถึง ๑๒๕๓ มีผู้คนพลเมืองแลเห็นนางฮ่อสีเหยียบเมฆสีลอยอยู่เหนือโรงเจ ณ ตำบลฮุ่นโบ่เคย และในสมัยศักราชไต้เละประมาณ พ.ศ. ๑๓๐๙ ถึง ๑๓๒๑ ก็มีประชาชนพลเมืองในเมืองกวางตุ้งเห็นนางฮ่อสีอยู่ ณ ศาลาแห่งหนึ่งในเมืองนั้น และในตำนานได้ระบุไว้ว่า เซียนทิก๋วยลี้ได้มารับนางฮ่อสีไปเข้าอยู่ในคณะโป๊ยเซียนในลำดับเซียนองค์ที่หก ฉะนั้นประชาชนพลเมืองทั้งหลายจึงได้ขนานชื่อให้นางฮ่อสีว่า ฮ่อเซียนโกว ตั้งแต่นั้นมา

เซียนองค์ที่ 5


เซียนองค์ที่ 5 น่าไชหัว

ในสมัยยุคแผ่นดินไซฮั่น มีชายขอทานคนหนึ่งชื่อ น่าไชหัว มีร่างสูงเพียงสี่ศอก ตามประวัติว่า เชียะคาไต้เซียนจุติลงมาเกิด เพื่อบำเพ็ญประโยชน์แก่มนุษย์ แต่ตามประวัติในตำนาน มิได้กล่าวไว้ว่า เป็นลูกเต้าเหล่ากอตระกูลใด เพราะเหตุที่น่าไชหัวได้ท่องเที่ยวขอทานเตร็ดเตร่มาหลายสิบหัวเมือง เครื่องแต่งกายที่สวมใส่เป็นเสื้อกางเกงสีน้ำเงิน แต่ก็เก่าขาดปะแทบไม่มีเนื้อดี สวมรองเท้าทำด้วยฟางหุ้มผ้าเพียงข้างเดียว เที่ยวร้องเพลงขอทานเขาเรื่อยมา ไม่ทำมาหากินอย่างอื่นใด เมื่อได้เงินทองพอสมควรแล้ว ก็เข้าร้านเหล้ากิน แล้วก็ขยับกรับในมือเสียงก้องกังวาล พลางขับเพลงประสานด้วยน้ำเสียงท่วงทำนองอันไพเราะ เพลงที่ร้องก็ล้วนแต่เป็นเพลงภาษิตแทรกธรรมะเตือนใจคน ทั้งเพราะทั้งน่าฟัง เป็นที่ชอบและเพลินใจแก่ผู้คนทั้งหลายทุกหัวเมืองที่ผ่านมา กรับที่ประจำตัวนั้นมีรูปลักษณะผิดกับกรับธรรมดา คือยาวถึงสี่คืบครึ่ง กว้างประมาณ หนึ่งฝ่ามือ หนาครึ่งองคุลี เนื้อกรับเป็นมันเงาวาววามคล้ายเนื้อหยก เวลาน่าไชหัวขยับกรับ เสียงดังกังวาลน่าฟังยิ่งนัก ถ้าวันใดขอทานได้เงินมามาก ก็แจกจ่ายให้แก่คนแก่คนเฒ่าที่ยากจนทั้งหญิงชาย บางคราวนึกขลังขึ้นมา พอได้เงินอีแปะมามาก น่าไชหัวก็เอาร้อยเชือกเป็นพวงยาวแล้ววิ่งลามไปตามถนนมิใยเชือกที่ร้อยพวงอีแปะจะขาดก็ไม่เอาใจใส่ คงวิ่งลากไปจนเงินหมดพวง พวกคนยากจนและเด็กตามถนนก็พากันวิ่งตามเก็บกันอย่างชุลมุนสนุกสนาน ความประพฤติของน่าไชหัวที่ไม่เหมือนใครมีอยู่อย่างหนึ่ง คือเวลาหน้าร้อนก็สวมใส่เนื้อหนา ทำเป็นเสื้อชั้นใน ถึงจะเป็นเวลาหน้าร้อนแดดจัดปานใด ก็ไม่ปรากฏว่ามีเหงื่อไหลอย่างคนธรรมดาสามัญ เวลาหน้าหนาวจัดหิมะลงท่วมเข่าก็ใส่เสื้อชั้นในบาง ๆ ตัวเดียว ทั้งตามหูตาปากจมูกก็ปรากกฏมีไอประดุจไอน้ำร้อนที่เดือดพลุ่งออกมา มาคราวหนึ่ง ขณะที่น่าไชหัวเสพสุราพอตึงหน้าครึกครื้น ก็ออกเดินรัวกรับร้องรำทำเพลง ผู้คนพากันตามมุงดูเต็มท้องถนนอยู่นั้น มีชายชราผู้หนึ่งพูดว่า น่าไชหัวผู้นี้เราเคยเห็นมา ตั้งแต่เราจำความได้ จนตัวเรามีอายุแก่ชราจนบัดนี้ ก็ไม่เห็นน่าไชหัวมีรูปร่างผิดไปกว่าแต่ก่อนเลย อย่างไรก็อย่างนั้น ดูเหมือนกับคนอายุสี่สิบปีเท่านั้น เสื้อกางเกงที่สวมใส่ ทั้งเกือกฟางที่หุ้มผ้า ก็สำรับเก่านั้นเอง ช่างน่าประหลาดอัศจรรย์เสียเหลือเกินคนทั้งหลายได้ฟังต่างก็เห็นด้วยดังที่ชายชราพูดนั้น ต่างก็มองแลดูน่าไชหัวด้วยความอัศจรรย์ใจและเคารพ จำเนียรกาลนานมาคราวหนึ่ง น่าไชหัวได้เที่ยวไปตามแนวป่าตำบลหนึ่ง ได้พบกับทิก๋วยลี้ในระหว่างทางต่าง ก็กระทำคำนับสนทนาปราศัยเป็นที่ถูกอัธยาศัยซึ่งกันและกันแล้ว ต่างก็ลาจากกันไป ในตำนานมิได้กล่าวไว้ว่าทั้งสองได้สนทนาเรื่องอะไรกันบ้าง มาวันหนึ่ง เป็นเพลาตกเย็น อากาศแจ่มใน น่าไชหัวกำลังนั่งเสพสุราอยู่ในร้านขายสุราบนสะพานคูเมือง พอได้ยินเสียงมโหรีดังไพเราะมาจากอากาศเบื้องบน บรรดาฝูงคนชาวเมืองตลอดจนเจ้าของร้านสุราต่างก็พากันออกไปแหงนดู เมื่อน่าไชหัวเห็นผู้คนกำลังเพลิน มิได้เอาใจใส่แก่ตัวเช่นนั้นเห็นเป็นโอกาสอันดี ก็เดินออกจากร้านสุราโยนกรับขึ้นไป กรับก็กลายเป็นนกกะเรียนใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้า น่าไชหัวก็ขึ้นขี่หลังนกกะเรียน บินเข้ากลีบเมฆหายไป เสียงมโหรีก็พลอยหายไปด้วยเจ้าของร้านสุราและเหล่าประชาชนเห็นดังนั้น ต่างก็พากันเข้าไปดูในร้าน เห็นแต่เสื้อกางเกงสีเขียวและรองเท้าฟางกองอยู่ แต่พอเข้าไปใกล้ของเหล่านั้นก็กลายเป็นหยกแล้วอันตรธานหายไป คนทั้งหลายจึงรู้ว่าน่าไชหัวได้สำเร็จเป็นเซียนไปแล้ว จึงพากันคำนับกระทำความเคารพ น่าไชหัวได้ไปกับทิก๋วยลี้เป็นเซียนในลำดับที่ห้าในคณะโป๊ยเซียน

เซียนองค์ที่ 4

เซียนองค์ที่ 4 เจียงกั๋วเล้า
ครั้งดึกดำบรรพ์หลายหมื่นปี มีค้างคาวเผือกใหญ่ตัวหนึ่ง สูบกินแสงอาทิตย์และแสงจันทร์เป็นอาหารอยู่หลายพันปี มีความสำรวมมัธยัสถ์ สงบภาวนาจนได้กลายร่างเป็นคนชรา แต่ผิวพรรณผ่องใสแข็งแรง ได้ทำถ้ำอาศัยอยู่ ณ กลางเขาตงเตี่ยว แขวงเมืองเฮ่งจิว ต่อนาน ๆ จึงจะเข้าเมืองสักครั้งหนึ่ง คนทั้งหลายที่พบปะ ก็เรียกขนานนามแกว่า เจียงกั๋วเล้า แปลว่าผู้ชนะความแก่ ซึ่งแกฟังแล้ว ก็ยิ้มผงกศีรษะยอมรับรองในชื่อนั้น ดังนั้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แกก็ได้ชื่อว่า เจียงกั๋วเล้า ด้วยประการฉะนี้ เจียงกั๋วเล้ามีฬาเผือกผู้ เป็นพาหนะอยู่ตัวหนึ่ง แต่มิใช่เป็นสัตว์มีชีวิตอย่างธรรมดา หากเป็นสัตว์พาหนะที่สำเร็จด้วยผ้าวิเศษ เวลาไปไหนมาไหนเสร็จธุระแล้ว แกก็เก็บพับไว้ ถ้าจะไปแห่งใด ก็หยิบเอาฬาออกมาคลี่แล้วพ่นด้วยน้ำ ฬาก็จะเป็นตัวยืนหยัดขึ้น เป็นพาหนะขับขี่ไป แต่อาการที่ขี่ฬาของเจียงกั๋วเล้าผิดธรรมดาสามัญ คือหันหน้าไปทางก้นฬา มีชายชราในเมืองนั้นคนหนึ่งบอกว่า แกได้เห็นเจียงกั๋วเล้าตั้งแต่จำความได้จนป่านนี้ ก็เห็นเจียงกั๋วเล้าเป็นอยู่อย่างนี้ไม่เห็นว่าจะแก่เฒ่าไปกว่าเก่าเลย มีคนถามเจียงกั๋วเล้าว่า ท่านอาจารย์มีอายุเท่าใด เจียงกั๋วเล้าก็จะตอบว่า เห็นจะหลายร้อยปีกระมัง ในระหว่างแผ่นดินพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ และพระเจ้าถังเกาจงฮ่องเต้ ซึ่งตรงกับ พ.ศ.1170 ถึง พ.ศ. 1226 กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ได้เคยทรงมีพระบรมราชโองการ ให้เชิญเจียงกั๋วเล้าไปเฝ้าหลายครั้ง เจียงกั๋วเล้าก็มิได้ไป ด้วยไม่มีความประสงค์จะเฝ้าแหน อันคับคั่งจอแจไปด้วยขุนนางข้าราชการและผู้คนมากหน้าหลายตา แต่การขัดรับสั่งมิไปเฝ้านั้น มิใช่ขัดอย่างอวดดีดื้อดึง แต่ทำมารยาเป็นเจ็บหนักบ้าง บางทีพอขุนนางที่ไปเชิญตัวเข้าไปถึงถ้ำที่พัก เจียงกั๋วเล้าก็เลยทำเป็นตายตัวแข็งทื่อไปเลย ครั้นมาในแผ่นดินพระนางบูเซ็กเทียน ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 1233 ถึง 1255 ได้ทรงมีพระราชเสาวนีย์ไปนำตัวเจียงกั๋วเล้าเข้าเฝ้า แต่พอขุนนางที่ไปนำตัวมาพอถึงศาลเจ้าโกวเนี๊ยทางเข้าประตูเมือง เจียงกั๋วเล้าก็เกิดเป็นอันเป็นลมลง สิ้นใจตายทันที ทั้งเวลานั้นเป็นเวลาฤดูร้อนจัดศพเลยขึ้นอึดเน่าเป็นหนองส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่ว พวกขุนนางเหล่านั้นต่างก็มีความตกใจรีบกลับไปถวายทูลให้พระนางบูเช็กเทียนทรงทราบ แต่จากนั้นไม่กี่วัน ก็มีคนเห็นเจียงกั๋วเล้าขี่ฬาเผือกเดินเที่ยวอยู่ตามชายป่า จึงเป็นที่รู้กันว่าเจียงกั๋วเล้ายังไม่ตาย ครั้นต่อมาประมาณ พ.ศ. 1274 ศักราชที่ 23 เป็นสมัยคายหงวน แต่ยังเป็นแผ่นดินแห่งราชวงศ์ถังเป็นรัชกาลพระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ ได้ทรงโปรดให้ป้วยหงอขุนนางผู้ใหญ่ เชิญพระราชสาส์นให้เจียงกั๋วเล้ามาเฝ้า ป้วยหงอไปถึงเมืองเฮ่งจิว สืบหาเจียงกั๋วเล่าจนพบ แต่พอคำนับยังไม่ทันจะสนทนาปราศัยกัน เจียงกั๋วเล้าก็เกิดเป็นลมล้มลงชักพราด ๆ ตายไปต่อหน้าต่อตา แต่ป้วยหงอเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ยังไม่ถึงกับตกใจเสียสติ เมื่อเห็นเช่นนั้นก็จุดธูปเทียนบูชาศพแล้ว คลี่พระราชสาส์นออกยืนอ่าน เจียงกั๋วเล้าก็ค่อยรู้สึกฟื้นขึ้นทีละน้อยจนลุกนั่งได้ แต่ไม่พูดจาว่าอะไร คงนิ่งเป็นใบ้อยู่ฉะนั้น ป้วยหงอเห็นว่าไม่อาจที่จะบังคับอย่างไรได้ จึงกระทำคำนับกลับไปเมืองหลวง กราบทูลพฤติการณ์ให้พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ก็ยังไม่ทรงละความพยายาม ได้ทรงให้หยูลูตงขุนนางผู้ใหญ่อีกคนหนึ่ง มีตำแหน่งเป็นฝ่ายที่ปรึกษาเชิญพระราชสาส์นออกไปเชิญเจียงกั๋วเล้าอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เจียงกั๋วเล้าก็เป็นอันจนปัญญาสุดที่จะหลีกเลี่ยงได้ เพราะเห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงมีพระราชศรัทธาและทรงนับถือย่างแท้จริง จึงได้เดินทางมาเฝ้า พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ ทรงพระปิติปราโมทย์ยิ่งนัก ทรงกระทำสักการะแล้วทรงโปรดให้พัก ณ ตำหนักจิบเฮียนอี้ อันเป็นสถานที่ประจำตำแหน่งราชปุโรหิตผู้ใหญ่ มีข้าคนคอยปฏิบัติใช้สอยไม่บกพร่อง บรรดาเหล่าพวกขุนนางข้าราชการทุกชั้นทุกฝ่าย ต่างก็ได้หมั่นไปมาคำนับกราบไหว้เยี่ยมเยียนอยู่มิได้ขาด วันหนึ่ง ขณะเจียงกั๋วเล้านั่งเฝ้าหน้าพระที่นั่งกิมล่วนเต้ย พร้อมด้วยขุนนางทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในเป็นอันมาก พระเจ้าถังเม่งจงได้ทรงรับสั่งถามในกิจการปฏิบัติของเซียนว่า มีอยู่อย่างไร เจียงกั๋วเล้าก็นิ่งเสีย มิได้ทูลตอบประการใด แล้วครั้นกลับมาถึงที่พักก็นั่งระงับนิ่งตลอดทั้งวันมิได้บริโภคข้าวน้ำแต่อย่างใด อยู่ต่อมาพระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ได้ทรงประทานสุราอย่างดีต่อหน้าพระที่นั่ง เจียงกั๋วเล้าจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเสพสุราไม่มาก แต่ศิษย์น้อยของข้าพเจ้าคนหนึ่ง สามารถดื่มสุราได้ครั้งละถัง พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น ก็ใคร่จะทรงทอดพระเนตรจึงรับสั่งให้พาเข้าเฝ้า แต่ยังมิทันผู้รับกระแสรับสั่งจะออกไป ก็พอดีเองย้งน้อยน่าเอ็นดูคนหนึ่ง ลอดช่องมู่ลี่บานพระแกลก้าวลงมาถวายคำนับ พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ได้ทรงเห็นเองย้งน้อย น่ารักเช่นนั้น ก็ทรงพระปราณีทรงรับสั่งให้นั่ง เจียงกั๋วเล้าจึงว่า ศิษย์ของข้าพเจ้าได้ยืนเฝ้าพระองค์เช่นนี้ ก็นับว่าเป็นบุญหนักหนาแล้ว การที่จะนั่งนั้นยังไม่สมควร พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ก็มิทรงขัดประการใด และได้ทรงประทานสุรารสเข้มให้เองย้งน้อยดื่มหนึ่งถัง พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็มีรับสั่งให้เอาสุรามาเติมให้อีก เจียงกั๋วเล้าจึงทูลว่า ศิษย์ของข้าพเจ้าดื่มได้เพียงถังเดียวเท่านั้น ถ้าให้ดื่มมากเกินขนาดแล้ว ก็จะทำให้น่าเกลียดคนจะหัวเราะได้ พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ ก็ไม่ฟัง ทรงสั่งให้เองย้งน้อยดื่มอีกหนึ่งถัง เองย้งน้อยดื่มสุราเกินกำลังจนกลางกระหม่อมทะลุ น้ำสุราไหลออกมาพรั่งพรู แล้วล้มลง กลายเป็นถังทองคำกลิ้งอยู่กลางท้องพระโรง พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้พวกขุนนางพิจารณาดูว่า ถังนั้นเป็นถังทองคำอะไร ก็ได้ความว่า ถังทองคำนั้นเป็นถังสุราที่ทรงพระราชทานเลี้ยงในตำหนักจิบเฮียนอี่ ในคราวที่ทรงต้อนรับเจียงกั๋วเล้า พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ชอบพระทัย ทรงพระสรวล แล้วทรงขอร้องให้เจียงกั๋วเล้าแสดงอิทธิฤทธิ์บางอย่างถวายทอดพระเนตร เจียงกั๋วเล้าก็มิขัด ได้ภาวนาเรียกพญาหงษ์และเหล่านกน้อยใหญ่นับจำนวนเป็นอันมาก มาบินวนร่อนร้องขับประสานรอบพระที่นั่ง ต่อจากนั้นก็นฤมิตต้นไม้หอมนานาชนิดให้งอกขึ้นผลิดอกออกผล หอมฟุ้งไปทั่วบริเวณพระราชวัง พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้จะทรงทอดพระเนตรอะไร เจียงกั๋วเล้าก็บันดาลด้วยอิทธิฤทธิ์ถวายให้ทุกประกา รครั้นพอเข้าฤดูหนาวจัด พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ก็ทรงประทานสุราชั้นปานกลางให้แก่เจียงกั๋วเล้า ๆ ดื่มแล้วรุ้สึกว่าคอแห้งและมึนเมา ทำให้อ่อนเพลียก็รู้ว่าไม่ใช่สุราดี จึงหดคอดูดฟันในปากออกดูเห็นแห้งจวนจะเปราะ จึงให้คนใช้ไปหายายู่อี้มากำมือหนึ่งบดผสมกับตัวยาในถุงแล้ว เอาถูฟัน ในไม่ช้าฟันก็กลับแน่นแข็งแรงและขาวดุจทำด้วยหยก วันหนึ่ง พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้เสด็จประพาสป่าพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ได้กวางใหญ่มาตัวหนึ่ง รับสั่งให้ฆ่า เพื่อทำพระอาหารเสวย แล้วเลี้ยงข้าราชการ ขณะนั้นเจียงกั๋วเล้าได้เฝ้าอยู่ด้วย จึงทูลว่า กวางตัวนี้เป็นสัตว์พาหนะของเซียนชั้นผู้ใหญ่ มีอายุจนถึงบัดนี้ได้พันปีเศษในสมัยง่วนซิว อันเป็นปีที่ ๕ ในรัชกาลของพระเจ้าบูเต้ทรงเสด็จประพาสอุทยาน ก็ได้จับกวางตัวนี้ได้เช่นเดียวกัน และได้ทรงโปรดให้ปล่อยเสีย พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ ทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรม ขอจงทรงพระมหากุศลผลบุญ และทั้งจะเป็นพระคุณแก่กวางและท่านผู้เป็นเจ้าของกวางตัวนี้อย่างหาที่สุดมิได้ พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นจึงตรัสว่า ตั้งแต่ครั้งสมัยรัชกาลพระเจ้าบูเต้มาจนบัดนี้ เป็นเวลานานนักหนาราชวงศ์กษัตริย์ผู้ครองแผ่นดินก็ได้เปลี่ยนไปมาหลายต่อหลายราชวงศ์แล้ว ท่านอาจารย์มีหลักฐานสำคัญประการใด จึงจะรู้แน่ว่ากวางตัวนี้เป็นตัวเดียวกันกับตัวที่ถูกจับในสมัยนั้น เจียงกั๋วเล้าจึงทูลว่า เมื่อพระเจ้าบูเต้ได้ทรงโปรดให้ปล่อยกว่างตัวนี้นั้น ได้ทรงโปรดให้ทำป้ายแผ่นทองเหลือง ติดรัดไว้ที่เขากวางข้างขวาป้ายหนึ่ง พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ก็ทรงมีรับสั่งให้พวกขุนนางช่วยกันตรวจดูก็เห็นป้ายทองเหลืองวัดโดยรอบยาวได้สองนิ้ว ติดอยู่ที่เขาเบื้องขวาป้ายหนึ่งสมจริง แต่อักษรที่จารึกนั้นลบเลือนหมดมิรู้ข้อความว่าประการใด พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้จึงมีรับสั่งถามว่า ท่านอาจารย์พอจะรู้ไหมว่าปีนั้นเป็นปีอะไร นับมาจนถึงสมัยเรานี้ได้สักกี่ร้อยปี เจียงกั๋วเล้าจึงทูลว่า ข้าพเจ้าได้ทราบมาว่าปีนั้นเป็นปีกุญสัมฤทธิศก นับมาจนถึงบัดนี้ได้แปดร้อยห้าสิบสองปี พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้จึงให้โหรช่วยตรวจสอบทางดูก็เป็นการถูกต้องทุกประการนับแต่บัดนั้นมา พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ก็ทรงเคารพเชื่อถือเจียงกั๋วเล้าเป็นอันมาก แต่ยังมิทรงทราบว่าเจียงกั๋วเล้านั้น มีอายุมากน้อยเท่าใด ในครั้งนั้น ยังมีนักบวชคนหนึ่ง ชื่อเอียบฮวนเสียน เป็นชาวเมืองเกียหัว เป็นคนมีนิสัยมักน้อย รักความสงบไม่มีครอบครัวลูกเมีย ถือศีลกินเจประพฤติปฏิบัติตนเป็นเต้าหยิน ท่องเที่ยวหลบบำเพ็ญหาความวิเวกไปตามซอกถ้ำป่าเขา มาวันหนึ่ง เอียบฮวบเสียนได้ท่องเที่ยวไปถึงตึกร้างโบราณที่เขาแป๊ะเบ๊ พบเซียนผู้สำเร็จสองคน จึงได้สมัครเข้าเป็นศิษย์ได้อุตสาหะเล่าเรียนวิชา ปฏิบัติอาจารย์ทั้งสองจนมีวิชาชำนิชำนาญ จึงออกเที่ยวทำการปราบปีศาจที่ดุร้ายตามชนบทหัวเมืองและอำเภอใหญ่น้อยให้ได้รับความร่มเย็นจนเป็นที่เลื่องลือ พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ทรงทราบ ก็มีรับสั่งให้หาตัวมาเข้าเฝ้า ณ เมืองหลวง จะทรงแต่งตั้งให้เป็นที่ปุโรหิต แต่เอียบฮวบเซียนกราบทูลว่า ข้าพเจ้ารู้ตัวว่าบุญมิถึงตำแหน่งนั้น มีวาสนาเพียงแต่อยู่ตามถ้ำป่าเขา มีกำลังวิชาเพียงแต่ปราบปีศาจเท่านั้น อันจะทรงแต่งตั้งให้เป็นขุนนางมียศศักดิ์นั้น เห็นว่าจะรับพระกรุณามิได้ พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ก็มิทรงขัดขืนหรือบังคับแต่ประการใด แต่ทรงโปรดให้พำนักอยู่ในเมืองหลวง มิต้องท่องเที่ยวต่อไป เพื่อจะได้ทรงพบปะเมื่อมีกิจธุระบางประการ อยู่มาวันหนึ่งในท้องพระโรงที่เสด็จออกขุนนาง ในวันนั้นเจียงกั๋วเล้ามิได้เข้าเฝ้า พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้เห็นเป็นโอกาส จึงทรงรับสั่งถามเอียบฮวบเสียนว่า ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่า ท่านอาจารย์เจียงกั๋วเล้าเป็นคนหรือว่าเป็นเซียนผู้สำเร็จ และมีอายุมากน้อยสักเท่าใด เอียบฮวบเสียนกราบทูลว่า ถ้าข้าพเจ้าจะกราบทูลเล่าประวัติของท่านอาจารย์เจียงกั๋วเล้าถวายตามที่ทรงรับสั่งถามแล้ว ข้าพเจ้าก็จักได้รับโทษอันตรายอันน่าสพึงกลัว แต่ถ้าพระองค์จะทรงช่วยชีวิตข้าพเจ้าแล้ว ก็ขอได้ทรงถอดพระมาหามงกุฏและฉลองพระบาท เข้าไปหาท่านอาจารย์เจียงกั๋วเล้าแล้วทรงวิงวอนขอโทษแทนข้าพเจ้าด้วยความเคารพ ข้าพเจ้าจึงจะพ้นจากโทษอันตรายอันร้ายแรงนั้น แล้วชีวิตจักกลับคืนมา พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ก็ทรงรับรองว่า จะปฏิบัติให้ตามนั้น เอียบฮวบเสียนจึงกราลทูลเล่าถึงชาติกำเนิดของเจียงกั๋วเล้าว่า ในกาลยุคดึกดำบรรพ์หลายหมื่นปี มีค้างคาวเผือกใหญ่ตัวหนึ่งอาศัยอยู่บนยอดเขา เสพแต่แสงพระอาทิตย์และพระจันทร์เป็นอาหารอยู่หลายพันปี จนมีร่างเป็นกายสิทธิ์ กลายเป็นมนุษย์ ถึงพร้อมด้วยพระเวทย์ คือท่านอาจารย์เจียงกั๋วเล้าผู้นี้ พอสิ้นคำ ยังมิทันจะกล่าวคำใดอื่นต่อไป เอียบฮวบเสียนก็เป็นอันเป็นผงะ หงายหลังผลึงลงกลางพื้นท้องพระโรง โลหิตไหลพรั่งพรูออกจากทวารทั้งเก้า นองไปทั่วพื้นสลบแน่นิ่ง พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นก็ตกพระทัย รีบเสด็จไปหาเจียงกั๋วเล้าถึงตำหนักจิบเฮียนอี้ ทรงถอดพระมหามงกุฏและฉลองพระบาท คุกพระชงฆ์กระทำความเคารพ แล้วทรงวิงวอนขออภัยโทษให้แก่เอียบฮวบเสียน เจียงกั๋วเล้าจึงว่า เต้าหยินคนนี้โอหังบังอาจอวดรู้ ถ้าไม่ลงโทษเสียบ้างก็จะเคยตัว ต่อไปเบื้องหน้า ก็จะเที่ยวเก็บเอาประวัติกำเนิดของเทพยดาอารักษ์ออกเที่ยวบรรยายหากิน พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ก็ทรงกราบไหว้วิงวอนอยู่ช้านาน เจียงกั๋วเล้าจึงยกโทษถวาย แล้วตามเสด็จไปยังที่เอียบฮวบเสียน นอนสลบจมกองโลหิตอยู่ เอาน้ำพ่นไปทั่วตัวครู่หนึ่งก็ฟื้นลุกขึ้นนั่ง เจียงกั๋วเล้าก็เอาน้ำที่เหลือนั้นให้กิน ก็กลับได้สติเป็นปกติมีกำลังดังเก่า ลุกขึ้นคุกเข่ากราบลุแก่โทษที่ได้บังอาจล่วงเกิน พระเจ้าถังเม่งจงฮ่องเต้ทรงเห็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของเจียงกั๋วเล้าประจักษ์ชัดเช่นนั้น ก็หมดความกังขาสนเท่ห์ในพระทัย ทรงมีความปราโมทย์เคารพนับถือ เจียงกั๋วเล้ายิ่งนัก ทรงแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งชั้นมหาโยคีซงเหียน และรับสั่งให้ช่างภาพ วาดภาพเจียงกั๋วเล้าเท่าตัวจริง ติดไว้ ณ ตำหนักจิบเฮียนอี้ เพื่อเป็นที่เคารพสักการะ อยู่ต่อมาเจียงกั๋วเล้าได้ทูลถึงโรคภัยที่เบียดเบียน ขอทูลลากลับไปเมืองเฮ่งจิวเป็นหลายครั้ง จึงทรงอนุญาตให้เป็นไปตามประสงค์ กับทั้งได้พระราชทานแพรสามม้วนและรถหนึ่งคันพร้อมกับคนลากรถสองคน เจียงกั๋วเล้าถวายพระพรลาขึ้นรถ เดินทางกลับไปยังเมืองเฮ่งจิว ครั้นถึงแล้ว ให้คนรถกลับเมืองหลวงเสียคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งพาไปอยู่ ณ สำนักเขตตงเตี๋ยวด้วย ครั้นอยู่มาถึงศักราชเทียนบ๊อ ตรงกับปี พ.ศ. ๑๒๘๕ พระเจ้าถังเม่งจงทรงมีความระลึกถึง รับสั่งให้หาเจียงกั๋วเล้าเข้าเฝ้า แต่เจียงกั๋วเล้าเกิดเป็นโรคปัจจุบันถึงแก่ความตาย คนลากรถที่อยู่ปฏิบัติก็จัดการเอาศพใส่หีบ แต่ครั้นถึงเวลาที่จะทำพิธีฝังได้เปิดออกดู ก็เห็นแต่หีบเปล่า ไม่มีร่างเจียงกั๋วเล้าอยู่ในนั้น จึงเลยฝังทั้งหีบเปล่า ๆ นั้น เหตุที่เป็นดังนี้ ก็เพราะลีเล่ากุนได้รับเจียงกั๋วเล้า เข้าเป็นเซียนลำดับที่สี่ในคณะโป๊ยเซียน

เซียนองค์ที่ 3


เซียนองค์ที่ 3 ลื่อท่งปิน
ลื่อท่งปิน (หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลื่อตงปิง) เป็นบุตรของลื่อหวีเจ้าเมืองไฮจิ๋วครั้งแผ่นดินถัง เป็นหลานของลื่ออ๊ย ปลัดกระทรวงราชประเพณีของพระเจ้าถังเกาจงฮ่องเต้ เมื่อเกิดนั้น คนภายในจวนเจ้าเมืองได้ยินเสียงมโหรีขับกล่อมอยู่ในอากาศ และเห็นนกกะเรียนเผือกบินเข้าไปในห้องของฮูหยินภรรยาเจ้าเมืองแล้วหายไป ลื่อท่งปินคลอดจากครรภ์มารดา ณ วันขึ้นสิบสี่ค่ำเดือนหก อันเป็นศักราชเจงหงวนปีที่แห่งราชวงศ์ถัง ตรงกับ พ.ศ. 1341 ทั้งจวนเจ้าเมืองก็มีกลิ่นหอมตลบ ตามตำนานว่า ตังฮั่วจินหยินผู้เป็นอาจารย์ของเจงหลีกั๊กมาเกิด ตามที่ได้พูดไว้ตั้งแต่ครั้งเจงหลีกั๊ก (หรือฮั้นเจงหลี) แตกทัพหนีข้าศึกไปพำนักเล่าเรียนอยู่ด้วย โดยตังฮั่วจินหยินได้พูดเป็นนัยว่า บางทีเราอาจจะต้องไปเป็นศิษย์ของเจ้าเสียอีก ซึ่งครั้งนั้นเจงหลีกั๊กเองได้ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ เมื่ออายุลื่อท่งปินได้ห้าขวบ เบ๊โจวซือผู้วิเศษได้ทำนายว่า เด็กคนนี้เป็นมนุษย์พิเศษ มิใช่คนธรรมดาสามัญมาเกิด ต่อไปเมื่อไปถึงตำบลหู ได้พบกับพวกแซ่เจงแล้ว ก็จะได้สำเร็จ อันลักษณะรูปร่างสัณฐานของลื่อท่งปินนั้นสูงแปดสิบสองนิ้ว กระหม่อมสูง หูยาว คิ้วยาว ตายาวเหมือนตาหงษ์ มีไฝดำเม็ดเขื่องที่คิ้วซ้าย จมูกใหญ่เป็นเส้นตรงและกลม แก้มเป็นพวง ปากกว้าง คอระหง ประกอบกับสติปัญญาเฉียบแหลม ความจำแม่นยำ ถือตัวว่าเป็นจินตกวี พอใจเสพสุรา ด้วยใคร่จะเอาอย่างลีไท้แปะ จินตกวีเอกครั้งแผ่นดินพระเจ้าเม่งจงฮ่องเต้ ครั้นมาคราวหนึ่ง ลื่อท่งปินได้ท่องเที่ยวหาความเพลิดเพลินไปถึงภูเขาหลูเกียซัว พบกับฮ่วยเล่งจินหยินผู้วิเศษ ได้เจรจากันเป็นที่สบอัธยาศัย ลื่อท่งปิน จึงมอบตัวเป็นศิษย์ ขอเล่าเรียนวิทยาการและเวทย์มนต์คาถาด้วย ฮ่วยเล่งจินหยินก็มีความพอใจ และยินดีสอนให้ลื่อท่งปินปัญญาไว มีความทรงจำแม่นยำไม่หลงลืม อาจารย์แนะบอกให้ครั้งเดียวก็จำได้ จึงเล่าเรียนเวทย์มนต์คาถา ใช้ธาตุในร่างกายให้ออกทำกิจใด ๆ ได้ดังประสงค์ (ทำนองเดียวกับฮั้นเจงหลี) กับคาถาปลุกเสกกั้นหยั่นให้ไปประหารศัตรูแล้วกลับคืนเข้าสู่ฝักตามเดิม อีกทั้งสอนวิธีการปฏิบัติบำเพ็ญเพียรเข้าฌานสมาธิ ลื่อท่งปินได้ตั้งใจอุตสาหะเล่าเรียนกับฮ่วยเล่งจินหยินอยู่เป็นเวลาหลายเดือน จนมีความชำนิชำนาญเก่งกล้าในอิทธิฤทธิ์ มาวันหนึ่ง คิดรำพึงที่จะลาอาจารย์ไปเยี่ยมบ้าน ฮ่วยเล่งจินหยินก็รู้ด้วยกำลังฌาน จึงเรียกศิษย์มาให้โอวาทตักเตือนว่าการที่เจ้าคิดจะกลับไปบ้านนั้นก็เป็นการสมควร เพราะเจ้าได้มาอยู่เล่าเรียนกับเราก็นานแล้ว แต่ว่าวิชาเวทย์มนต์คาถาต่าง ๆ ที่สอนให้เจ้านั้น ก็เพื่อให้เจ้าเอาไว้ป้องกันตัวเมื่อเวลามีภัยเข้าที่คับขัน อย่าเอาไปใช้ทดลองเล่นด้วยใจเบา หรือใช้ในทางทุจริตอันเป็นบาป แม้เห็นผู้ใดมีความทุกข์เดือดร้อน เมื่อพิจารณาเห็นสมควรจะช่วย จึงค่อยช่วยเอาบุญ ถ้าเห็นไม่เป็นการสมควรช่วยไปก็เปล่าประโยชน์ ก็ควรเฉยเสียอย่าเอาเป็นธุระเลย ลื่อท่งปินรับโอวาทของอาจารย์แล้ว ก็คุกเข่าลงกราบสามครั้งด้วยความเคารพ แล้วออกเดินทางกลับบ้านยังเมืองไฮจิ๋ว ขณะที่เดินทางรอนแรมไปตามสบายพบโรงเตี๊ยมที่ไหน ก็แวะเข้าพักเสพสุราอาหารที่นั่นเรื่อยไป จนกระทั่งมาถึงอำเภอหวยเชียง ทางฝั่งแม่น้ำหวยโห แลเห็นคนเป็นอันมากยืนมุงอยู่หน้าบ้านพักของนายอำเภอ เหตุด้วยในแม่น้ำนั้นมีมังกรร้ายตัวหนึ่ง ขึ้นมาแผลงฤทธิ์ทำให้เกิดพายุและฝนแม่น้ำมีคลื่นปั่นป่วน ทำให้เรือแพของพวกพ่อค้าวาณิชแตกล่มเป็นอันมาก แล้วจับเอาคนไปกินเป็นอาหาร นอกจากนั้นแล้วยังแปลงเป็นชายหนุ่มเที่ยวล่อลวงเอาลูกสาวชาวบ้านไปเป็นเมีย เสร็จแล้วก็ฆ่ากินเสียมากต่อมาก เป็นที่เดือดร้อนแก่ผู้คนพลเมืองในอำเภอนี้เป็นอย่างยิ่ง นายอำเภอมิรู้ที่จะหาทางปราบปรามกำจัดอย่างใดจึงได้ทำหมายออกประกาศ เรียกผู้จะอาสาปราบปรามมังกรร้ายไว้ในที่ต่าง ๆ ลื่อท่งปินจึงแวะเข้าไปดูเห็นประกาศนั้นมีความว่า ผู้ใดมีกำลังฝีมือสามารถฆ่ามังกรร้ายในแม่น้ำนี้ได้ จะให้บำเหน็จรางวัลถึงขนาด ลื่อท่งปินจึงคิดว่า ตั้งแต่เราได้ฝึกฝนเล่าเรียนวิชามาจากสำนักอาจาราย์จนบัดนี้ ก็ยังมิได้ทดลองให้เห็นประจักษ์แจ้งเลย บัดนี้พวกราษฏรในอำเภอนี้กำลังได้รับความเดือดร้อนจากสัตว์ร้าย ก็เป็นโอกาสที่เราจะได้ช่วยบำบัดทุกข์ อีกทั้งจักได้ทดลองวิชาที่ได้เรียนมานั้นด้วย คิดดังนั้นแล้ว จึงฉีกประกาศเข้าไปแจ้งแก่นายอำเภอว่า ข้าพเจ้าชื่อลื่อท่งปินขอรับอาสาเป็นผู้กำจัดมังกรร้ายนี้ให้ นายอำเภอมีความดีใจเป็นอันมาก จึงพร้อมด้วยเสมียนพนักงานและราษฏรทั้งปวง นำลื่อท่งปินไปยังฝั่งแม่น้ำ ชี้แหล่งที่มังกรอาศัยอยู่ ลื่อท่งปินเพ่งมองพิจารณาวังน้ำนั้น เห็นใสแจ๋วปราศจากปลาใหญ่น้อยเป็นที่ผิดปกติธรรมดากว่าแม่น้ำแห่งอื่น ก็แน่ใจว่าต้องเป็นที่อาศัยของสัตว์ปีศาจร้ายนั้น จึงอ่านมนต์ถอดกั้นหยั่นออกจากฝักขว้างไปกลางน้ำ ในไม่ช้าพื้นน้ำก็เกิดเป็นละลอกคลื่นขนาดใหญ่ปั่นป่วนไปทั่วแล้วปรากฏเป็นสีแดงฉานปนขึ้นมากับน้ำนั้นด้วย ทันใดปีศาจมังกรก็ทลึ่งโผล่ขึ้นมา ส่งเสียงร้องสนั่นดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดสาหัส เพราะถูกกั้นหยั่นวิเศษแทงเข้ากลางทรวงอก แล้วพุ่งเสือกตัวขึ้นมาตายบนฝั่ง ส่วนกั้นหยั่นก็หลุดออกจากอกมังกร ลอยเข้าสู่ฝักตามเดิม ฝูงคนพลเมืองที่มามุงดูเต็มฝั่งแม่น้ำ ต่างก็ได้เห็นเป็นอัศจรรย์ก็มีความชื่นชมยินดีเลื่อมใสเป็นอันมาก พากันคุกเข่าลงคำนับกราบไหว้ นายอำเภอก็เชิญลื่อท่งปินขึ้นไปบนที่ว่าการ กระทำคำนับแล้วจัดสุราอาหารมาเลี้ยง เสร็จแล้วก็จัดเงินทองเสื้อผ้าแพรพรรณมามอบให้เป็นรางวัล ลื่อท่งปินไม่รับ มอบกลับคืนให้นายอำเภอ เอาไว้แจกจ่ายแก่ผู้ที่ยากจน แล้วก็คำนับลาเดินทางต่อไป นับแต่บัดนั้นมาบรรดาเหล่าราษฏรชาวบ้านและพวกพ่อค้าวาณิชที่ถูกมังกรทำร้าย คิดถึงคุณของลื่อท่งปิน ต่างก็ได้วาดรูปลื่อท่งปินไว้สำหรับเป็นที่เคารพบูชา ฝ่ายลื่อท่งปินได้ท่องเที่ยวเดินทางจนลุถึงเมืองงักเอี๋ยง ใคร่จะช่วยเหลือคนยากจนที่มีคุณธรรม จึงได้ปลอมตัวเป็นคนขายน้ำมันหาบเร่ขายไปตามที่ต่าง ๆ ด้วยตั้งใจว่าถ้าคนใดซื้อน้ำมันโดยไม่ขอแถมก็จะช่วยเหลือ และตั้งแต่เที่ยวเร่ขายอยู่ในเมืองนั้นเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี ก็ยังไม่พบผู้ที่ซื้อน้ำมันแล้วไม่ขอแถมเลย ล้วนแต่ขอแถมหน่อยทุกคนไป วันหนึ่งลื่อท่งปินหาบน้ำมันเร่ร้องขายไปตามถนน มีหญิงชราคนหนึ่งถือเปลือกไข่เป็ด มาขอซื้อน้ำมันหนึ่งอีแปะ ลื่อท่งปินก็ตักน้ำมันให้เต็มเปลือกไข่ หญิงชราคนนั้นก็รับน้ำมันไป โดยไม่เอ่ยปากขอแถมแต่ประการใด ลื่อท่งปินคิดสงสัย แต่ก็มีความพอใจเป็นอันมาก ที่ว่าในเมืองนี้ทั้งเมืองยังพอมีคนดีมีคุณธรรมอยู่ จึงยกหาบขึ้นใส่บ่าเดินตามมาแล้วถามว่า น้ำมันที่ยายซื้อไปนั้นพอใช้หรือ ไม่เห็นขอแถมอย่างคนอื่นเขาเลย หญิงชราจึงว่าเราต้องการเท่านี้ ถึงหากแกจะแถมให้อีกข้าก็ไม่ต้องการ ลื่อท่งปินก็รู้ชัดว่าหญิงชราผู้นี้ มีคุณธรรมปราศจากความโลภ แล้วก็เดินตามไป หญิงชรามาถึงบ้าน เหลียวมองมาเห็นคนขายน้ำมันเดินตามมาเช่นนั้นก็พูดว่า จงหยุดพักที่บ้านเราก่อนเถิด พอหายเหนื่อยแล้วจึงค่อยไป เราจะจัดอาหารให้กิน ว่าแล้วหญิงชราก็จัดอาหารมาให้ลื่อท่งปินกินพลาง ก็พิจารณาไปทั่วบ้าน เห็นบ่อน้ำบ่อหนึ่งจึงถามว่า บ่อน้ำนั้นยายขุดเองหรือ ๆ ว่ามีมาแต่เดิม หญิงชราก็ตอบว่า เราขุดไว้สำหรับใช้อาบกิน และเล่าต่อไปว่ามีบุตรชายคนหนึ่ง ขณะนี้ออกไปทำงานยังไม่กลับมา ถ้ากลับมาทันก็ได้ให้รู้จักกันไว้ ลื่อท่งปินได้ฟังก็นิ่งอยู่ ครั้นกินข้าวอิ่มแล้ว ก็หยิบเอาข้าวสารสองสามเม็ดโปรยลงไปในบ่อแล้วบอกกับหญิงชราว่า น้ำในบ่อนี้เป็นสุราสีเข้มรสดี เล่าม้าจงตักออกขายเถิดจะได้ร่ำรวย ว่าแล้วก็ยกหาบน้ำมันใส่บ่า ลากลับไป ฝ่ายหญิงชรานั้น ครั้นเวลาเย็น บุตรชายกลับบ้านก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง บุตรชายไม่เชื่อคิดว่ามีคนมาหลอกลวงแม่ จึงตักน้ำในบ่อขึ้นมาชิมดู ก็รู้ว่าเป็นสารรสวิเศษสมจริง ก็ดีใจเป็นอันมากสองคนแม่ลูกจึงได้เปิดร้านขายสุราขึ้น คนทั้งหลายได้มาซื้อกินก็ติดใจ ต่างก็ชักชวนกันมากินสุราในร้านของสองแม่ลูก จนมีทรัพย์สินเงินทองร่ำรวยขึ้น ฝ่ายลื่อท่งปิน เมื่อได้ช่วยหญิงชราแล้ว ก็เลิกขายน้ำมัน ได้เดินทางไปถึงร้านขายสุราอีกแห่งหนึ่ง เห็นหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ในร้าน คะเนอายุไม่เกินสามสิบปี ท่วงทีกิริยาเรียบร้อย จึงแวะเข้าไปซื้อสุราดื่ม แล้วถามคนขายว่าร้านนี้เป็นของผู้ใด คนขายก็บอกว่าเป็นของนางซินสีที่ท่านเห็นนั่งอยู่เมื่อตะกี้นี้ ลื่อท่งปินได้ฟังแล้ว ก็คงนั่งดื่มสุรากินอาหารกับแกล้มจนเมา แล้วก็ลุกเดินออกจากร้านไปเฉย ๆ มิได้ชำระราคาค่ากินแต่อย่างใด คนขายเห็นดังนั้นก็เอะใจ จึงเข้าไปบอกแก่นางซินสี นางจึงว่าเราได้พิเคราะห์ดูชายคนนั้นแล้ว เวลากินเหล้า เราก็ได้แอบดูอยู่ในนี้ เห็นท่าทางเป็นคนต่างถิ่น รูปร่างลักษณะมิใช่คนสามัญ ค่าของกินเล็กน้อยเท่านั้นอย่าไปทวงเลย ถ้าหากเขามาอีก เจ้าก็จงหาให้เขากินตามสบายเถิด คนใช้ได้ฟังก็รับคำ ให้นึกประหลาดใจคิดว่าเห็นทีนายผู้หญิงของเราจะพึงใจคนผู้นี้กระมัง ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ลื่อท่งปินก็ไปเสพสุราอาหารที่ร้านนางซินสีเสมอมา จนเป็นหนี้ค่าเหล้าค่าอาหารมากมาย มาวันหนึ่งขณะที่นั่งเสพสุราอยู่ ลื่อท่งปินจึงว่าแก่นางซินสีว่า เงินค่าสุราอาหารของท่านนั้นเรายังไม่มีจะให้ แต่เวลานี้ขอให้ท่านหาเปลือกส้มมาให้สักชิ้นหนึ่ง นางซินสีก็ไปหาเปลือกส้มมาให้ ลื่อท่งปินรับเอาเปลือกส้มมาเสก แล้ววาดภาพนกกะเรียนลงในเปลือกส้มนั้น แล้วเอาติดไว้ที่ฝาผนัง แล้วสั่งว่า ถ้ามีคนมากินสุราอาหาร ก็ให้นางเรียนกนกกะเรียนให้ออกมาร้องรำบำเรอเถิดก็จะร่ำรวย ว่าแล้วก็คำนับลาไป นางซินสีได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ ครั้นต่อมามีคนหลายคน เข้ามาซื้อสุรากิน นางนึกขึ้นได้ จึงลองเรียนนกกะเรียนตามที่ลื่อท่งปินสั่งไว้ นกกะเรียนก็ออกมาจากผนัง บินมายืนบนโต๊ะกลางร้าน แล้วก็ร้องรำแพนหาง ย่างเท้าเข้าจังหวะอยู่ไปมาหลายท่าหลายทาง จบแล้วก็บินกลับเข้าผนังเป็นภาพวาดไปตามเดิม นางซินสีและคนทั้งหลายได้เห็นเป็นอัศจรรญ์ จึงเลื่องลือกันต่อไป ตั้งแต่นั้นผู้คนเป็นอันมากก็พากันมากินสุราที่ร้านนางซินสีอย่างคับคั่ง เพื่อได้ชมนกกะเรียนวิเศษนั้น ฝ่ายลื่อท่งปิน ให้หวนคิดถึงบ้าน เพราะได้จากมาช้านานมิรู้ว่าสุขทุกข์ประการใด ทั้งได้ทราบข่าวมาว่าบรรดาญาติพี่น้องมิตรสหายได้เข้ารับราชการมียศตำแหน่งไปหลายคน จึงคิดว่าตนเองก็มีความรู้อยู่เป็นอันมาก ควรที่จะเข้ารับราชการในเมืองหลวงบ้าง ทั้งขณะนี้ในเมืองงักเอี๋ยงก็กำลังเปิดรับผู้เข้าสอบแข่งขันเบื้องต้น คิดดังนั้นแล้ว ก็จัดหาเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวสำหรับเขาสอบไล่ ลื่อท่งปินเป็นผู้ชำนาญทางหนังสือและจินตกวี ฉะนั้นการสอบไล่ที่เมืองงักเอี๋ยงจึงมิมีการขัดข้องประการใด ได้สอบไล่เลื่อนขึ้นไปเป็นลำดับ จนได้เข้าไปสอบในเมืองเชียงอานนครหลวง ก็สอบไล่ได้ชั้นจินสือ ขณะนี้ลื่อท่งปินอายุได้ห้าสิบปีแล้ว วันหนึ่งไปที่ร้านสุราในเมืองเชียงอาน เพื่อหาซื้อสุราดีดีกินตามนิสัยชอบ ได้พบเต้าสือผู้หนึ่งรูปร่างสะอาดหน้าตาสดใส ศีรษะโพกสีเขียวนั่งเสพสุราพลาง เขียนโศลกคำฉันท์ ที่เรียกว่าซีที่ฝาผนังสามบท ลื่อท่งปินจึงเข้าไปขออ่าน และพิจารณาดูเต้าสือผู้นั้น เห็นผิวพรรณแปลกกว่าคนสามัญ ก็กระทำคำนับถามชื่อเสียง และว่าซีที่ท่านแต่งนี้ มีถ้อยคำและความหมายไพเราะหนักหนา เต้าสือผู้นั้นจึงตอบว่า ข้าพเจ้ามีชื่อว่า ฮั้นเจงหลี ขอท่านจินสือจงลองแต่งซีดูบ้างเป็นไรเพื่อจะได้แลกเปลี่ยนความคิดกันและกัน ลื่อท่งปินก็รับภู่กันมา เขียนซีชื่อชิดเจ่อะที่ฝาผนังอีกบทหนึ่ง ฮั้นเจงหลีดูฉันท์ที่ลื่อท่งปินเขียนแล้วจึงว่า ข้าพเจ้าอยู่ที่สำนักเฮาะฮง เอานกและป่าเขาลำเนาไพรเป็นเพื่อนสนทนาเจริญภาวนาสงบวิเวกแต่ผู้เดียว ไม่ปรารถนาที่จะพัวพันอยู่กับโลก ลื่อท่งปินได้ฟังก็มิตอบว่าประการใด ฮั้นเจงหลีก็รู้ในน้ำใจลื่อท่งปินว่า ยังมีความเยื่อใยอาลัยทางโลกอยู่จึงพาเข้าไปทางหลังร้าน หาฟืนและข้าวสารมาหุงเลี้ยงกัน ขณะที่กำลังหุงข้าวอยู่นั้น ลื่อท่งปินได้นั่งง่วงและหลับฝันไป ในความฝันนั้นมีว่า ตนเองได้สมัครเข้าสอบชิงตำแหน่งจอหงวนหน้าพระที่นั่ง และก็สอบชิงได้สมปรารถนา ได้รับการแห่แหนอย่างเอิกเกริกไปทั่วนครหลวง ต่อมาได้ภรรยาที่มีฐานะมั่งมีถึงสองคน ฮ่องเต้ได้ทรงโปรดให้เข้ารับราชการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นลำดับจนกระทั่งได้เป็นผู้ช่วยบุ๋นใจเสี่ยง ต่อมาได้มีลูกชายหญิงหลายคนและหลานปู่หลานตา ล้วนได้เข้ารับราชการมียศศักดิ์มั่งคั่งด้วยกันทุกคน แม้ตนเองก็ได้รับตำแหน่งถึงอัครมหาเสนาบดีที่บุ๋นใจเสี่ยง มีอำนาจอยู่ถึงสิบปี ครั้นวันหนึ่งบังเอิญมีเหตุการณ์อันเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงเกิดขึ้น จนถึงกับถูกริบทรัพย์สมบัติบ้านช่องทั้งตนเองก็ถูกถอดยศศักดิ์ ได้รับความอัปยศ ส่วนบุตรภรรยาข้าทาสชายหญิงต่างอพยพหลบหนีไปสิ้น เหลือตัวคนเดียวก็ต้องถูกเนรเทศให้ไปอยู่ในที่กันดาลชายเขตแดน ได้รับความยากแค้นแสนลำเค็ญแทบจะไม่มีที่ซุกหัวนอน กำลังยืนหมดอาลัยตายอยากในชีวิตทอดถอนใจใหญ่อยู่ไปมา ก็พอดีรู้สึกตัวตกใจตื่นขึ้น ก็รู้ตัวว่าเอ๊ะนี่เราฝันไปอย่างเป็นจริงเป็นจังเทียวหรือ ฝ่ายฮั้นเจงหลีกำลังยกหม้อข้าว ก็หันมาหัวเราะพลางว่า เราหุงข้าวยังไม่ทันจะยกออกจากเตา ตัวท่านได้ฝันทั้งเรื่องสุขเรื่องทุกข์อย่างโลดโผนเป็นจริงเป็นจังเสียตื่นหนึ่งอย่างนี้ดก็ดีเหมือนกัน ลื่อท่งปินได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ถามว่าก็ท่านทราบหรือไม่ว่า ข้าพเจ้าฝันสุขทุกข์โลดโผนเป็นประการใด ฮั้นเจงหลีจึงว่า ก็ท่านฝันเสียอย่างยืดยาว ได้มียศถาบรรดาศักดิ์เป็นใหญ่เป็นโตมีอำนาจ มีเหย้ามีเรือนลูกหลานหว่านเครือมากมาย จนในที่สุดตนเองถึงความเสื่อมเสียพินาศ ต้องตกยากเหลือแต่ตัวคนเดียว เที่ยวนอนตามถนน ดู ๆ ก็ประหลาด เดี๋ยวหน้าบานเดี๋ยวหน้าแห้ง ความเป็นไปในชีวิตชั่วเวลาห้าสิบปีนี่เป็นความฝัน ดูมันประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นก็จบเรื่อง เราจึงเห็นว่า ชีวิตความเป็นไปของมนุษย์ในโลกนั้น ผู้รู้ทั้งหลายท่านเปรียบเสมือนความฝัน ถึงคราวได้สุขก็ไม่หลงระเริง ถึงคราวได้ทุกข์ก็ไม่ระทมใจ จึงจะอยู่ในโลกได้ด้วยความร่มเย็น ไม่ต้องถูกโลกบีบคั้น ลื่อท่งปินเห็นฮั้นเจงหลีรู้การณ์ในความฝันและแจ้งโลกเช่นนั้น จึงคิดว่าเต้าหยินผู้นี้เป็นผู้สำเร็จแน่แล้ว ก็ทรุดตัวลงคุกเข่ากราบลงสามครั้งด้วยความเคารพ ขอมอบตัวเป็นศิษย์ให้ฝึกสอนอบรม ฮั้นเจงหลียังมิทันจะพูดอะไร คนขายก็จัดสุราอาหารเข้ามาให้ จึงได้เข้านั่งโต๊ะกินพร้อมกัน ฮั้นเจงหลีจึงว่า การที่เจ้ายอมตนเป็นศิษย์ ขอให้เราอบรมฝึกสอนวิชาบำเพ็ญภาวนาให้นั้น เราไม่ขัดข้อง แต่ขณะนี้ยังมิใช่เวลา จงปฏิบัติกิจทางโลกไปก่อน ต่อเมื่อถึงเวลาอันสมควรแล้ว เราจึงจะมารับ ครั้นบริโภคสุราอาหารอิ่มหนำสำราญแล้ว ต่างก็ลาจากกันไป ลื่อท่งปินครั้นกลับมาถึงที่พัก ก็ครุ่นคิดคำนึงถึงความฝัน ตลอดจนถ้อยคำของอาจารย์ ก็มองเห็นความจริงแจ่มแจ้งขึ้น จึงคิดที่จะลาราชการ กลับไปเยี่ยมบ้าน เพราะได้จากมาช้านานหลายปี มิรู้ว่ายังมีความสุขกันดีอยู่หรืออย่างไร จึงได้เข้าไปหาขุนนางผู้ใหญ่ที่ชอบพอ แจ้งเรื่องให้ทราบโดยตลอด ขุนนางผู้นั้นมีความชอบพอสนิทสนมกับลื่อท่งปิน เพราะเป็นนักเลงแต่งกาพย์ฉันท์ด้วยกัน จึงนำลื่อท่งปินเข้าเฝ้า กราบถวายบังคมลา ก็ได้ทรงอนุญาตลื่อท่งปินมีความยินดี จึงอำลามิตรสหายกลับไปเมืองไซอิ๋ว บรรดาญาติพี่น้องเพื่อนฝูงต่างก็พากันเข้ามาแสดงความยินดีที่สอบชิงตำแหน่งจินสือได้ และได้ทำการเซ่นไหว้บรรพบุรุษปู่ย่าตายายตามประเพณีอยู่สองสามวัน ลื่อท่งปินไม่คิดที่จะเป็นขุนนางอีกต่อไป จึงอยู่บ้านช่วยญาติพี่น้องทำเรือกสวนไร่นา ครั้นมีเวลาว่างก็ออกท่องเที่ยวไปตามที่สงัดโดยลำพัง ฝ่ายฮั้นเจงหลีอยู่ ณ สำนักเฮาะฮง เพ่งฌานเห็นถึงความเป็นไปของลื่อท่งปินผู้ศิษย์ ก็มีความพอใจ และหวังที่จะทดลองดูน้ำใจของศิษย์บางประการ จึงออกจากสำนักเหยียบเมฆลอยมายังเมืองไฮจิ๋ง เพื่อจะทรมานทดลองด้วยเหตุสิบประการ คือ ประการที่หนึ่ง ได้บันดาลให้ผู้คนบ่าวไพร่ในบ้านลื่อท่งปิน เป็นไข้พิษตายลงหลายคน แต่ลื่อท่งปินแทนที่จะตกใจหรือเสียใจ กลับพิจารณาเห็นว่าอายุของคนเหล่านั้นได้ทำมาเพียงเท่านั้นเป็นสิ่งธรรมดา จึงจัดแจงที่จะเก็บศพคนเหล่านั้นไปฝังแต่ยังมิทันที่จะจัดการอย่างใด คนเหล่านั้นก็ฟื้นคืนมามิได้มีโอกาสเจ็บไข้อย่างใด ลื่อท่งปินก็ไม่เป็นอัศจรรย์คิดไปว่านั่นเป็นบุญของเขาที่ยังไม่ถึงคราวจะตาย เขาคงจะเป็นแต่เพียงสลบไปเท่านั้น ประการที่สอง ลื่อท่งปินได้คุมลูกจ้างหาบถั่วงาเผือกมันไปขายที่ตลาด ได้ทำการตกลงราคาซื้อขายกันแล้ว แต่พอมองสิ่งของ ผู้ซื้อกลับจ่ายเงินให้เพียงครึ่งเดียว บอกว่าอีกครึ่งหนึ่งยังไม่มี ลื่อท่งปินก็ไม่ว่าอะไร รับเอาเงินกลับบ้าน ประการที่สาม ในวันขึ้นปีใหม่ คือวันที่ ๑ ของเดือน ที่ ๑ ลื่อท่งปินไปอวยพรให้แก่ญาติมิตรกลับมา เห็นขอทานคนหนึ่งยืนยื่นกระป๋องขอทานอยู่หน้าประตูใหญ่ จึงเข้าไปในบ้านจัดหาอาหารให้กิน กินเสร็จแล้ว คนขอทานนั้นก็ขอเสื้อผ้าอีก ลื่อท่งปินก็ให้ ขอเงินขอทองก็ให้ พอคนขอทานขอมากไปกว่านั้น ลื่อท่งปินไม่มีจะให้ คนขอท่านก็ด่าว่าเอาเสีย ๆ หาย ๆ แทนที่ลื่อท่งปินจะโกรธ กลับหัวเราะงอไปงอมา คนขอทานขัดใจ เอาไม้เท้าเคาะหัวทีหนึ่งแล้วเดินออกไป ประการที่สี่ ลื่อท่งปินไปป่ากับเด็กเลี้ยงแพะ เสือโคร่งตัวหนึ่งวิ่งออกจากเชิงเขาตรงมาจะกินแพะ ลื่อท่งปินเห็นดังนั้น ก็กระโดดเข้าขวางหน้าไว้ ตั้งใจจะให้เสือกัดกินตนแทนแพะ เสือกลับหยุดชะงักไม่กิน ได้แต่มองหน้าคำราม แล้วโดดกลับเข้าป่าหายไป ประการที่ห้า เย็นวันหนึ่งลื่อท่งปินกำลังนั่งดูคัมภีร์บำเพ็ญภาวนาอยู่ในกระท่อมวิเวกส่วนตัวแต่ผู้เดียว มีหญิงสาวรูปงามคนหนึ่งเข้ามาหาขอร้องว่า ได้ไปเยี่ยมบิดามารดาแล้วจะกลับบ้านสามี ทางที่จะไปก็ไกล ทั้งเวลาก็ใกล้ค่ำแล้ว เกรงจะมีอันตราย จึงแวะเข้ามาขออาศัยกระท่อมท่านผู้เมตตาพักนอนสักคืนหนึ่ง ต่อรุ่งขึ้นจึงจะลาเดินทางต่อไป ลื่อท่งปินก็ให้อาศัย ตกตอนค่ำนางได้แสดงจริตกิริยายั่วยวนต่าง ๆ ในทางกาม เป็นเชิงชักชวนให้ร่วมประเวณี ลื่อท่งปินก็ทำเฉยเสีย ไม่เหลียวแลเข้าใกล้ เป็นอยู่เช่นนี้ถึงสมวันสามคืน เห็นไม่สมประสงค์ก็ลาไป ประการที่หก วันหนึ่งลื่อท่งปินออกไปเที่ยวครั้นกลับมาบ้าน เห็นข้าวของเงินทองถูกขโมยลักเอาไปเกือบหมด ก็มิได้เสียใจเอะอะโวยวายแต่ประการใด หายได้หายไป เมื่อยังมีแรงกำลังปัญญาอยู่ก็หาเอาใหม่ได้ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินต่อไป วันหนึ่งกำลังพรวนดินจะปลูกผักขุดลงไป เห็นทองคำแท่งหลายสิบลิ่ม ก็กลบเสียไม่แตะต้องประการที่เจ็ด ลื่อท่งปินได้ซื้อเครื่องทองเหลืองอย่างหนึ่งจากคนขายหาบเร่ แต่ครั้นมาถึงบ้านแก้ห่อออกดู เห็นเครื่องมือทองเหลืองนั้นกลายเป็นทองคำ จึงรีบออกเที่ยวตามหาคนขายจนพบ แล้วคืนให้คนขายก็มองดูหน้าด้วยความชอบใจ ประการที่แปด ลื่อท่งปินออกไปจ่ายกับข้าวในตลาด พบเต้าหยินสติไม่เต็มเต็งผู้หนึ่ง เที่ยวร้องขายยาประหลาดว่า ยานี้ใครซื้อไปกินอึดใจเดียวตาย ตายแล้วเกิดไปชาติหน้า จะได้สำเร็จเป็นเซียนแน่ ๆ ตั้งแต่เขาร้องขายมา ยังไม่เห็นมีใครกล้าซื้อไปกินเลย ลื่อท่งปินได้ยินดังนั้น ก็เข้าไปขอซื้อมาทั้งห่อ เต้าหยินบ้าบอผู้นั้นก็พูดย้ำอีกว่า จงเตรียมซื้อโลงไว้เถิด ตายแล้วจะได้มีที่ใส่ ลื่อท่งปินไม่ตอบ ถือยากลับบ้าน แก้ห่อยาออกกินเข้าไปจนหมด แต่ไม่ตาย กลับมีกำลังวังชาแข็งแรงกว่าเก่าหลายเท่า ประการที่เก้า ได้เกิดพายุร้ายแรง ทำให้น้ำท่วมบ้านเรือนหมดทั้งตำบล ผู้คนพลเมืองลูกเล็กเด็กแดงร้องไห้ กลัวภัยกันระเบ็งเซงแซ่ แต่ลื่อท่งปินก็อยู่เป็นปกติ คิดว่าสุดแต่ฟัาดินจะบันดาลให้เป็นไป ไม่มีความเดือดร้อนอะไร ประการที่สิบ มีปีศาจยักษ์หลายคน คุมนักโทษคนหนึ่งเนื้อตัวโชกไปด้วยเลือด มายืนร้องไห้ที่หน้าบ้าน ร้องทวงว่าเจ้าฆ่าเรามาหลายชาติแล้ว บัดนี้เราติดตามมา เจ้าจงรีบฆ่าตัวเองใช้หนี้ชีวิตเรา ลื่อท่งปินจึงว่า เมื่อข้าพเจ้าได้ทำแก่ท่านมาแล้วแต่ชาติก่อนเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็จะใช้หนี้ให้แก่ท่านเพื่อให้หมดเวรกันไป ท่านอย่าร้องไห้เจ็บแค้นวิตกไปเลย ว่าดังนั้นแล้วก็ลุกขึ้น ดึงมีดจากข้างฝาจะเชือดคอตาย ก็พอมีเสียงตวาดมาจากอากาศ ปีศาจยักษ์และนักโทษนั้นก็หายวับไป แลเห็นคน ๆ หนึ่ง แต่งตัวดุจเซียนผู้สำเร็จ ตบมือหัวเราะเดินตรงมา ก็จำได้ว่าเป็นอาจารย์ของตน ก็คุกเข่าลงกราบสามครั้งด้วยความเคารพและยินดี ฮั้นเจงหลีจึงว่าน้ำใจของเจ้าประเสริฐนัก ไม่มีความหวั่นไหวในเหตุการณ์ทั้งปวง บัดนี้ถึงเวลาแล้วจงไปกับเรา ว่าแล้วก็จูงมือลื่อท่งปินเหาะกลับไป เมื่อมาถึงสำนัก ณ เขาเฮาะฮงแล้ว ฮั้นเจงหลีก็ลงมืออบรมฝึก และสอนวิธีการบำเพ็ญฌานสมาธิให้ทุกอย่างทุกประการ ลื่อท่งปินได้มีความตั้งใจอุตสาหะศึกษาบำเพ็ญเพียรอยู่กับอาจารย์เป็นเวลาหลายวัน มาวันหนึ่งถามอาจารย์ว่า (วันหนึ่งของภูมิแห่งเซียนเท่ากับ ๑ ปีของโลกมนุษย์) ข้าพเจ้าใคร่จะทราบว่าการสำเร็จเป็นเซียนนั้น สำเร็จเหมือนกันอย่างเดียวกัน หรือว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ฮั้นเจงหลีตอบว่า นั่นต้องแล้วแต่การปฏิบัติบำเพ็ญเพียรของแต่ละบุคคล ว่าจะกล้าแข็งเพียงไรแม้ได้สำเร็จขั้นสูง ก็เข้าสู่ชั้นของเซียนชั้นสูง ถ้าแม้การบำเพ็ญปฏิบัติยังไม่กล้าแข็งพอได้บรรลุแค่ขั้นต่ำ ลื่อท่งปินก็ถามอีกว่า เซียนที่สำเร็จมรรคผลปฏิบัตินั้นมีกี่ชั้น ฮั้นเจงหลีตอบว่า ถ้าจัดลำดับแล้วก็มีทั้งหมดด้วยกันหกชั้น คือ ชั้นต่ำสุดคือเซียนปีศาจ ถัดขึ้นไปชั้นที่สี่ก็คือเซียนปฐพี ถัดขึ้นไปอีกชั้นที่ห้าคือเซียนเทพารักษ์ ชั้นสูงสุดชั้นที่หกคือเซียนสวรรค์ ลื่อท่งปินจึงถามอีกว่า ก็เซียนทั้งหกชั้นนั้นมีผลปฏิบัติต่างกันอย่างไร ฮั้นเจงหลีจึงอธิบายว่า พวกที่หนึ่ง คือเซียนปีศาจนั้น คือบรรดาปีศาจที่มีอายุยืนนาน มุ่งประพฤติคุณความดี ไม่เที่ยวเกะกะดุร้ายดังเช่นปีศาจอื่น ๆ ได้จำศีลภาวนาบำเพ็ญฌานจนได้บรรลุสำเร็จฌานเบื้องต้น มีความเป็นอยู่และมีเดชอำนาจสูงขึ้น นี้เรียกว่าเซียนปีศาจพวกที่สอง เซียนสัตว์เดรัจฉานนั้น คือสัตว์เดรัจฉานบางพวกบางเหล่ามี เสือ ชะมด เต่า และพังพอน เป็นต้น ที่มีอายุยืนนานมัธยัสถ์เก็บตัวสงบอยู่ในที่ลับแต่ผู้เดียว ไม่ออกเที่ยวเกะกะเช่นเดียวกับเซียนปีศาจ จนกระทั่งได้สำเร็จฌานเบื้องต้นมีฤทธิ์อำนาจเกิดขึ้น นี้เรียกว่าเซียนสัตว์เดรัจฉาน พวกที่สาม เซียนมนุษย์นั้น คือบุคคลสามัญทั่ว ๆ ไป ได้ประพฤติมั่นคงในศีล และปฏิบัติบำเพ็ญเจริญภาวนาจนได้ฌานตบะขั้นโลกีย์ มีอำนาจฤทธิ์ตามกำลังที่ปฏิบัติ ก็เป็นเซียนมนุษย์พวกที่สี่ เซียนปฐพีนั้นก็คือเซียนมนุษย์นี่เอง แต่ได้ปฏิบัติบำเพ็ญเพียรจนได้บรรลุฌานชั้นเยี่ยมมีอายุยืนนานนับด้วยหมื่นด้วยแสนปี ไม่เจ็บไม่แก่ มีกำลังฤทธิ์อำนาจปานเทพยดา หรือยิ่งกว่าที่เรียกว่าเซียนปฐพี พวกที่ห้า เซียนเทพารักษ์ คือเซียนปฐพีนั้นเอง แต่ได้ปฏิบัติบำเพ็ญเพียร จนบรรลุฌานอันแก่กล้าจนปราศจากรูปมีแต่วิญญาณ จึงเป็นเซียนเทพารักษ์ส่วนพวกที่หก คือเซียนสวรรค์นั้น คือเซียนทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วทั้งห้าจำพวก แม้ได้ประพฤติอยู่ในศีลอย่างมั่นคงไม่ด่างพร้อย และปฏิบัติบำเพ็ญเพียร จนได้สำเร็จตบะฌานชั้นเลิศอุกฤษฏ์โดยบริบูรณ์แล้ว ก็ได้เป็นเซียนสวรรค์ทั้งสิ้น ลื่อท่งปินได้ฟังคำอธิบายของอาจารย์จบลงแล้วจึงว่าอันเซียนปีศาจและเซียนเดรัจฉานนั้นต่ำไป ส่วนเซียนสวรรค์เล่าก็แลดูไกลสุดเอื้อม แต่ส่วนอีกสามจำพวกนั้นยังพอที่จะประพฤติปฏิบัติกระทำความเพียรได้ ฮั้นเจงหลีจึงว่า เจ้าจงอุตสาหะบำเพ็ญไปโดยมั่นคงเถิด ไม่ช้าก็คงสำเร็จผลสมความปรารถนา พออาจารย์กับศิษย์พูดจากันจบลง ตังฮั่วจินหยินก็มาถึง ต่างคำนับกันและกันแล้ว นั่ง ณ ที่อันควร ซีจินหยินมองพิเคราะห์ดูลื่อท่งปิน แล้วถามฮั้นเจงหลีว่า ผู้ที่ยืนอยู่นี้มาจากแห่งใด ฮั้นเจงหลีจึงว่า ผู้นี้คือลื่อท่งปินศิษย์ของข้าพเจ้ามาแต่เมืองไฮจิ๋ว ที่ข้าพเจ้าได้เคยเล่าให้ท่านฟังแต่ก่อน แล้วบอกให้ลื่อท่งปินทำความเคารพเซียนทั้งสอง ลื่อท่งปินก็คุกเข่าลงกราบด้วยความนอบน้อม ตังฮั่วจินหยินจึงทักว่า รูปร่างศิษย์ของท่านทะมัดทะแมงมั่นคงดี สายตาก็มีประกายแสดงถึงความมีใจคอหนักแน่น ทั้งผิวพรรณก็ผ่องใส คงจะสำเร็จผลในไม่ช้า เมื่อสนทนากันพอสมควรแล้ว เซียนทั้งสองก็ลากลับไป อยู่มาวันหนึ่งฮั้นเจงหลีจึงเรียกลื่อท่งปินมาบอกว่า วันนี้เป็นวันถึงกำหนดที่เราจะขึ้นเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้บนสวรรค์ และจะได้กราบทูล ขอให้จารึกชื่อเจ้าไว้ในทะเบียนชื่อของเซียน เมื่อเข้าคณะแล้ว ก็จะได้อยู่ร่วมกัน เมื่อเราไปแล้ว เจ้าจงเดินทางท่องเที่ยวไปช่วยอนุเคราะห์คนทั้งหลายเถิด เพื่อจักได้สร้างสมบารมีให้ยิ่งขึ้น ว่าแล้วก็หยิบเอาเซียนตัน (คือยาทิพย์) ยื่นส่งให้ ลื่อท่งปินกราบอาจารย์สามครั้ง แล้วรับเอายามาเก็บไว้ขณะนั้นพอดีมีเซียนสวรรค์องค์หนึ่งมาแจ้งแก่ฮั้นเจงหลีว่า มีเทวโองการให้ขึ้นไปเฝ้าบัดนี้ เพื่อรับมณีบัตรแต่งตั้งเป็นเซียนสวรรค์ ฮั้นเจงหลีจึงสั่งลื่อท่งปินอีกว่า ต่อแต่นี้ไปอีกสิบปี เจ้าจงไปรอพบเราที่ทะเลสาบท่งเถง ว่าแล้วก็ขึ้นเหยียบเมฆไปพร้อมกับเซียนสวรรค์องค์นั้น ฝ่ายลื่อท่งปินครั้นฮั้นเจงหลีผู้อาจารย์ไปแล้ว ก็ยังยับยั้งบำเพ็ญฌานอยู่ในสำนักอีกหลายเวลา ก็ออกเดินทางช่วยเหลืออนุเคราะห์ผู้คนที่ได้ทุกข์ไปเรื่อย ๆ จนถึงเมืองลกเอี๋ยง อันเป็นเมืองหลวงเก่า ได้แวะเข้าพักในศาลเจ้าแห่งหนึ่งในเมืองนั้น วันหนึ่งได้เดินเที่ยวชมบ้านเมืองไปตามถนนหลวง เห็นหญิงสาวคนหนึ่งอายุในราวสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปงามแช่มช้อยเป็นที่เจริญตา กิริยาย่างเดินเป็นที่ยั่วยวนใจ ก็ให้เกิดความกำหนัดกระสันต์ยิ่งนัก จึงคิดว่า นับแต่เราเกิดมาจนบัดนี้และได้ท่องเที่ยวมาหลายบ้านหลายเมือง ได้พบปะหญิงทั้งสาวและไม่สาวนับแทบไม่ถ้วน ก็ไม่เห็นหญิงคนใด ที่จะมีรูปงามแช่มช้อย น่ารักน่าร่วมภิรมย์ดังหญิงสาวคนนี้เลย นางมีชื่อว่าอะไรเป็นลูกเต้าเหล่าใครยังอยู่ตัวคนเดียว หรือจะมีเหย้าเรือนแล้วหรืออย่างไร จำจะต้องสืบถามดูให้รู้เรื่องจงได้ คิดแล้วก็เที่ยวเดินไต่ถามเรียบเคียงชาวบ้านแถวนั้น ก็ได้ความว่า หญิงนั้นชื่อนางโบตั๋น เป็นหญิงหากินทางบำเรอชาย ลื่อท่งปินได้ฟังดังนั้น ก็มีความยินดีเพราะเป็นหญิงส่วนกลาง มิใช่ลูกเมียของใคร ตัวเราเองก็ยังไม่เคยสัมผัสรูปเสียงกลิ่นรส อันจะชวนให้เป็นที่ต้องใจสมความปรารถนาเลย เมื่อได้มาพบของงามต้องใจอย่างนี้ จะละเลยย่อมไม่สมควร ทั้งเป็นความเขลาด้วยประการหนึ่ง จำจะต้องทดลองว่า รสชาติจะวิเศษเลิศเลอสักเพียงไร คนทั้งหลายจึงได้พากันหลงไหลกันเป็นนักหนา แต่เราอายุก็มากแล้ว รูปร่างก็เข้าลักษณะเฒ่าชะแรแก่ชรา อย่างกระนั้นเลย จำจะต้องแปลงรูปเสียใหม่ให้งามเหมาะสมกัน จึงจะถูกกับแบบแผนทางประเวณีโลก คิดดังนั้นแล้วก็หยิบเอาก้อนดินมาเสกเป็นทองคำแท่ง เสกกั้นหยั่นให้เป็นเด็กรับใช้ ส่วนตัวเองกลายรูปเป็นหนุ่มน้อยร่างสำอางค์แต่งตัวทะมัดทะแมงรัดกุม หญิงใดเห็นก็ให้พิศมัย เสร็จแล้วก็เดินตรงไปยังบ้านที่หญิงสาวนั้นอาศัยอยู่ ลื่อท่งปินหยุดยืนดูทำเลที่ทาง พอเห็นสบโอกาสก็เดินเข้าไปภายใน ฝ่ายนางโบตั๋นครั้นมาถึงบ้านพักผ่อนพอสมควรแล้ว ก็เข้าห้องสำอางค์ เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่แล้วเดินออกมาข้างนอก เห็นหนุ่มน้อยรูปงามต้องตาผู้หนึ่งกับเด็กคนใช้ยืนรออยู่ นางก็ยิ้มให้อย่างหวานชื่น เป็นที่จับใจลื่อท่งปินยิ่งนัก นางได้ถามชื่อเสียงหนุ่มจำแลงก็เสบอกว่า ตัวพี่นี่ชื่อท่งต๋าว มาเพื่อจะขอพักกับนางพอเป็นที่สบายใจแล้วก็จะลาไป ว่าแล้วก็หยิบทองคำลิ่มส่งให้ นางก็ยิ้มรับทองไปเก็บไว้แล้วก็จัดแต่งโต๊ะสุราอาหารอย่างรสเลิศ เข้านั่งร่วมโต๊ะสนทนาคลอเคลียไปพลางเสพสุราอาหารไปพลางจนต่างก็เกิดความกำหนัดกระสันต์ และเป็นเวลาค่ำมืดพอสมควร ต่างก็เข้าร่วมห้องเสพกามสุขตามวิสัยโลกีย์ ฝ่ายชายแปลงท่งต๋าวนั้น เป็นผู้สำเร็จโลกีย์ฌานชั้นเลิศ รู้วิชากามศาสตร์ ระงับมิให้หลั่งไหลออกมา จึงเสพกามร่วมประเวณีโดยมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย จึงมีความชื่นบานปรีด์เปรมด้วยกันทั้งสองฝ่าย ท่งต๋าวได้พักสมสู่อยู่กับนางงามโบตั๋นอย่างอิ่มเอมจนล่วงหลายราตรี ทำให้นางงามชื่นชมหลงไหลในเล่ห์กามกรีฑา ถึงกับออกปากว่า วิธีบำเรอกามของท่านวิเศษนัก แต่ขณะนี้ขอให้ข้าพเจ้าได้พักผ่อน ให้พอหายเหน็ดเหนื่อยสักยามหนึ่งก่อน แล้วก็จะรับใช้ท่านต่อไปด้วยความเต็มใจ ท่งต๋าวแปลงได้ฟังก็ยิ้มหัวพลางรำพึงว่า บัดนี้ เราก็ให้ทดลองในรูปรสกลิ่นเสียงและสัมผัสมาเป็นเวลาพอสมควรแล้วควรยุติได้ ทั้งเรื่องนี้ถ้าล่วงรู้ไปถึงอาจารย์แล้ว ก็จะตำหนิติเตียนเป็นอย่างมากทีเดียว คิดแล้วจึงพูดว่า การที่เจ้าขอพักผ่อนนั้นก็ควรแล้ว ตัวเราก็จะขอลาเจ้าไปเหมือนกัน เพราะกิจธุระสำคัญยังมีอยู่ เมื่อนางได้ฟังดังนั้น ก็ร้องไห้ด้วยความอาลัยรัก ท่งต๋าวเช็ดน้ำตาให้แล้ว ใช่เราจะลาเจ้าไปเลยก็หาไม่ ในไม่ช้าก็จะกลับมาอยู่ครองกันอีก พลางพูดปลอบสั่งเสียจนนางหลับ จึงได้ออกจากห้องพร้อมด้วยเด็กคนใช้ พอพ้นเขตบ้านลับตาคน ก็กลับคืนร่างเป็นลื่อท่งปินตามเดิม ฝ่ายฮั้นเจงหลีอยู่ ณ สำนักเฮาะฮง ให้มีใจระลึกถึงศิษย์ ก็เพ่งพิจารณาดูก็รู้โดยตลอดว่า ศิษย์ของตนได้ประพฤติซุกซน ทดลองในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสกับสาวงามโบตั๋น ซึ่งต่อไปก็จะได้สำเร็จเป็นเซียนเช่นเดียวกัน อย่ากระนั้นเลย จำเราจะไปรับลื่อท่งปินกลับมา คิดแล้วก็ออกจากสำนักตรงไปหาทิก๋วยลี้ แล้วเล่าถึงความประพฤติเป็นไปแห่งศิษย์ของตนให้ทิก๋วยลี้ฟัง และขอร้องให้ช่วยสั่งสอนลื่อท่งปินด้วยอุบาย ตามแต่จะเห็นว่าเหมาะแก่นิสัย ทิก๋วยลี้ได้ฟังก็หัวเราะชอบใจ สั่งให้ศิษย์ไปเชิญนางฮ่อเซียนโกวมา ฮั้นเจงหลีสงสัยจึงว่า ซือเฮียท่านมีอุบายประการใดหรือ จึงให้ฮ่อเซียนม่วยมาช่วย ทิก๋วยลี้จึงแจ้งอุบายให้ทราบทุกประการ ฮั้นเจงหลีมีความยินดีเป็นที่ยิ่ง จึงว่าความคิดของซือเฮียนี้แยบยลลึกซึ้งนัก จึงคำนับลากลับไป พอนางฮ่อเซียนโกวมาถึง ทิก๋วยลี้ก็แจ้งธุระที่จะทำให้ฟังโดยตลอด นางฮ่อเซียนโกวจึงว่า ถ้าเช่นนั้นก็อย่ารอช้าจงรีบไปกันเถอะ ครั้นแล้วเซียนทั้งสองก็เหยียบเมฆเหาะลอยมายังเมืองลกเอี๋ยง ลงในที่ลับตาแห่งหนึ่งแล้ว ก็แปลงเป็นคนขอทานชราชายหญิงสองคนพร้อมด้วยเครื่องมือทำเพลง คือฉาบและกลอง เที่ยวเดินเร่ร้องรำทำเพลง ขอทานไปทุกบ้านช่อง จนถึงหน้าบ้านของนางโบตั๋น ก็ลงนั่ง แล้วก็บรรเลงเรื่องเซียนขี้เมาสมสู่กับนางสาวงาม เสียงทำนองที่ร้องประสานกับจังหวะเสียงฉาบและกลองที่ตีเคาะรับกันนั้น ทำให้นางโบตั๋นซึ่งอยู่ในบ้านฟังเพราะจับใจ อดอยู่ไม่ได้จึงออกไปดู เห็นเฒ่าชราตายายสองคน ผมเผ้ารุงรังเสื้อกางเกงขาดปุปะแต่น้ำเสียงที่ร้องขับตลอดจนท่าทีย่างรำช่างน่าดู และไพเราะนัก จึงยืนตั้งใจฟังจนจบ แล้วเรียกเข้าไปในบ้านจัดข้าวปลาอาหารให้กิน แล้วให้เสื้อผ้าคนละสำรับ เซียนแปลงรับของแล้ว ก็แสร้งทำเป็นยืนมองเพ่งพินิจพิจารณาอย่างไม่วางตา จนนางนึกกระดากใจจึงร้องว่า อะไรกันตาจ้องดูเราทำไมอย่างนั้น ตาเฒ่าเซียนแปลงก็หัวเราะแล้วว่า เราเห็นนางรูปร่างกิริยางามเลิศ แต่ใจยังมีความวิตกบางอย่าง จึงพิจารณาดูอยู่อย่างนี้ นางจึงว่า ตารู้ว่าเรามีความวิตกเรื่องอะไรหรือ เซียนแปลงจึงว่า ตาพอจะรู้เพราะได้เรียนมาบ้าง นางจึงว่า ถ้าเช่นนั้นไหนลองบอกให้เราแจ้งหน่อยซิ เซียนเฒ่าแปลงจึงหันไปพยักหน้าให้ยายเซียนอธิบายแทน ยายเซียนจึงว่า ขอให้เราเข้าไปในบ้าน จึงอธิบายให้ฟังได้ นางโบตั๋นก็จูงมือยายเซียนเข้าไปข้างใน ยายเซียนจึงว่า การที่นางร่วมหลับนอนกับเจ้าหนุ่มน้อยนั้น ไม่มีหญิงใดหาญสู้ เพราะเจ้าหนุ่มรูปงามนั้นมีวิชากามโลกีย์ สามารถยับยั้งน้ำกามมิให้หลั่งไหลได้ และจะกระทำการได้ทุกเวลา แล้วแต่เจ้าตัวจะต้องการเมื่อใด แม้หญิงใดมิรู้เข้าบำรุงบำเรอ มิช้าก็จะเหี่ยวแห้งวอดวายไปด้วยกามกิจนั้นเป็นแน่ นางโบตั๋นได้ฟังดังนั้น ก็ตกใจหวั่นเกรงยิ่งนัก จึงได้เล่าความจริงให้ฟังโดยตลอด แล้ววิงวอนขอให้ช่วยเหลือ ยายเซียนก็กระซิบบอกอุบายวิธีให้แล้วก็ออกมาจากห้อง นางตามออกมา กระทำคำนับขอบคุณแล้วถามว่า ท่านผู้เฒ่าทั้งสองมีแซ่และชื่ออย่างไร กรุณาให้ข้าพเจ้าได้ทราบบ้างเพื่อระลึกถึงบุญคุณ แต่พอพูดสิ้นคำ ร่างตาเฒ่าและยายเฒ่าก็หายวับไป นางยืนตะลึงด้วยความตกใจอัศจรรย์ คิดแน่ใจว่า ผู้เฒ่าทั้งสองนั้นคงเป็นเซียนผู้สำเร็จปลอมแปลงมาช่วยเหลือเราเป็นแน่แท้ จึงจัดโต๊ะเครื่องบูชาขอให้ช่วยปกป้องคุ้มภัย ฝ่ายลื่อท่งปิน ครั้นท่องเที่ยวเยี่ยมเยียนญาติมิตรสหาย จนกระทั่งเข้าฤดูหนาว หิมะตกเต็มไปทั่วพื้นแผ่นดิน ก็ระลึกถึงคำสั่งของอาจารย์ ที่ให้ไปรอพบที่ทะเลสาบท่งเถง จึงได้ออกเดินทางมุ่งตรงไป พอมาถึงทางแยกจะเข้าเมืองลกเอี๋ยง ก็ให้หวนนึกถึงนางโบตั๋น ทั้งนี้เป็นด้วยฟ้าดินบันดาล โดยที่นางมีวาสนาบารมีจะได้สำเร็จเป็นเซียน ลื่อท่งปินเดินมุ่งตรงไปยังบ้านของนาง พอจวนถึงก็แปลงร่างเป็นหนุ่มน้อยท่งต๋าว และกั้นหยั่นก็กลายเป็นเด็กคนใช้ พากันเดินไปจนถึงหน้าบ้าน เห็นนางกำลังนั่งวาดภาพเล่นอยู่ จึงค่อย ๆ เดินเข้าไปยืนจนใกล้และถามสัพยอกว่า แม่ยอดรัก นางกำลังเขียนรูปอะไรหรือ ขอให้พี่ชมบ้างเป็นไร นางตกใจ เหลียวมาเห็นเป็นท่งต๋าวคู่สวาทเดิม ก็ดีใจยิ่งนัก ลุกขึ้นคำนับฉุดมือให้นั่งเก้าอี้ร่วมกัน นางสั่งให้สาวใช้ ยกสุราอาหารออกมากินกันไปพลาง พูดจาสัพยอกยั่วเย้าไปพลาง จนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ชวนกันเข้าห้อง ร่วมรสเสน่หาให้สมกับที่จากกันไปนานวัน ขณะที่ร่วมกามกิจ และท่งต๋าวกำลังเพลิดเพลิน มิได้ระแวงเฉลียวใจนั้น นางก็จี้เข้าที่รักแร้ท่งต๋าวแปลงสะดุ้งไม่ทันยั้ง กามอุทกก็หลั่งไหลออกมา ดุจน้ำในภาชนะที่เต็มเปี่ยม เมื่อถูกกระทบเขย่าเข้าโดยแรงก็หกตะแคงล้นไหลออกไปฉะนั้น ครั้นเสร็จกามกิจอันเกินวิสัยเป็นพิเศษเช่นนั้น ท่งต๋าวก็นิ่งนึกพิจารณาไปทั่วสรรพางค์กายของนาง ซึ่งขณะนั้นกำลังนอนทอดกายอ่อนระทวย เพราะเหตุที่ได้รับรสแรงแห่งกามอุทกอันบริสุทธิ์จนเยือกเย็นเสียวสะท้านไปทั้งภายนอกภายในกาย ท่งต๋าวจึงถามว่า เจ้าไปรู้วิธีอย่างนี้มาจากผู้ใด นางก็ได้เล่าความจริงให้ฟังสิ้น มิได้ปิดบังอำพราง ท่งต๋าวได้ถามอีกว่าแล้วผู้เฒ่าทั้งสองนั้นได้บอกชื่อเสียงแก่เจ้าหรือเปล่า ว่าชื่อแซ่ใด นางก็ได้ถามแล้ว แต่ก็มิได้บอกประการใด พอข้าพเจ้าถามสิ้นคำทั้งสองก็หายไป ข้าพเจ้าคิดแน่ใจว่าคงเป็นผู้วิเศษ ท่งต๋าวจึงว่า ที่แท้นั้นผู้เฒ่าทั้งสองก็คือทิก๋วยลี้และนางฮ่อเซียนโกว ส่วนตัวเรานี้คือลื่อท่งปินนักพรตต๋าวสูงอายุ นั่งอยู่บนเตียง เด็กคนใช้ที่อยู่ข้างนอกวิ่งเข้ามา ก็กลายเป็นกั้นหยั่นลอยเข้ามาอยู่ในมือ นางโบตั๋นเห็นดังนั้น ก็มิได้สะดุ้งตกใจกลัวแต่อย่างใด เพราะรู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว จึงรีบลุกลงจากเตียง คุกเข่าลงกับพื้นกราบด้วยความเคารพสามครั้ง แล้ววิงวอนว่า ขอท่านจงได้เมตตาช่วยให้ข้าพเจ้าผู้คับแค้น ได้พ้นจากอำนาจโลกีย์ด้วยเถิด ลื่อท่งปินจึงว่า เจ้าอย่าวิตกเลย เพราะเจ้าเป็นมนุษย์พิเศษ จะสำเร็จเป็นเซียน เพราะเหตุที่ได้รับกามอุทกของเราเข้าสู่ร่างกาย เจ้าจะมีอายุยืนนานไม่แก่เฒ่า ฉะนั้นตั้งแต่บัดนี้ไป จงถือศีลเว้นอาหารสดคาวและหมั่นเจริญบำเพ็ญภาวนา ในไม่ช้าจะได้สำเร็จ ได้ไปอยู่ ณ สำนักของนางฮ่อเซียนโกว พูดแล้วก็ส่งยาเซียนตันให้เม็ดหนึ่ง พอนางรับมา ลื่อท่งปินก็หายวับไป นางโบตั๋นก็จัดตั้งโต๊ะบูชากราบไหว้ แล้วกินยานั้น และเลิกการหากินทางบำเรอชาย เข้าถือศีลกินเจตั้งแต่บัดนั้นมา ลื่อท่งปิน ครั้นออกจากบ้านนางโบตั๋นแล้วก็เดินทางมุ่งไปยังอำเภองักเอี๋ยง ถึงแล้วก็ตรงไปยังร้านขายเหล้าของยายแก่ ที่ตนได้ช่วยทำน้ำในบ่อให้เป็นเหล้า แต่ขณะนั้นยายแก่นั้นไม่อยู่ ลื่อท่งปินจึงถามว่า ร้านนี้ของใคร ฝ่ายลูกชายยายแก่พิเคราะห์ดู ก็ระลึกได้ว่า คงเป็นคนที่มาขายน้ำมันให้กับแม่ แล้วบันดาลให้น้ำในบ่อเป็นเหล้า จึงได้เล่าเรื่องเดิมให้ลื่อท่งปินฟัง แล้วบอกว่า ขณะนี้แม่ไม่อยู่ ไปธุระกว่าจะกลับก็ตกเย็น ลื่อท่งปินหัวเราะพลางถามว่า เป็นอย่างไรเหล้าขายดีไหม ลูกชายยายแก่เจ้าของร้านก็บอกว่า เหล้านะขายดี แต่ไม่มีส่าสำหรับจะให้หมูกินเลย ลื่อท่งปินได้ฟังดังนั้นก็จ้องดูหน้า แล้วกล่าวโศลกเชิงตำหนิว่า มนุษย์นี้แสนโลภ ช่างละโมบไม่รู้พอ ตั้งหน้าแต่จะขอ ใจเองหนอต่ำสิ้นดี น้ำสุราข้าทำให้ ขายจนได้ทรัพย์มั่งมี ยังขอส่าอีกที ทำเช่นนี้เห็นแก่ตัว ฯ ว่าแล้วก็เสกคาถาเป่าไปที่บ่อ เรียกเมล็ดข้าวลอยเข้าย่าม แล้วเดินกลับออกไป ครั้นยายแก่กลับมา ลูกชายก็เล่าเรื่องให้ฟัง แล้วพากันไปดูเหล้าในบ่อ ซึ่งบัดนี้ได้กลับเป็นน้ำไปตามเดิม ไม่มีกลิ่นเหล้าอย่างเช่นเคย ยายแก่ทั้งตกใจและเสียใจเป็นอันมาก ครั้นจะออกไปตาม ก็ไม่รู้ว่าไปแห่งใด แม่ลูกต่างเสียใจติโทษกันและกัน ฝ่ายลื่อท่งปิน ครั้นออกจากร้านยายแก่แล้ว ก็ตรงมายังร้านของนางซินสี นางซินสีแลเห็นก็ดีใจรีบออกมาต้อนรับ เชิญให้นั่งโต๊ะแล้วจัดสุราอาหารอย่างดีมาเลี้ยง ลื่อท่งปินเสพสุรากินอาหารไปพลาง เหลียวดูทางโน้นทางนี้ ชมร้านที่ได้ตกแต่งไว้อย่างน่าดูไปพลาง แล้วถามว่านกกะเรียนของข้าพเจ้า ได้ออกมาร้องรำทำเพลงให้พวกที่มากินเหล้าดูหรือเปล่า และการค้าขายของท่านเป็นอย่างไร นางซินสีก็ว่า ตั้งแต่วันที่ท่านได้เขียนรูปนกกะเรียนให้จนบัดนี้ การซื้อขายของข้าพเจ้า ก็เจริญขึ้นเรื่อยมาจนมั่งคั่งสมบูรณ์ ก็ได้อาศัยท่านที่เมตตา ระลึกถึงคุณท่านหาที่สุดมิได้ ลื่อท่งปินหัวเราะแล้วว่า นกกะเรียนได้ทำงานใช้หนี้แทนข้าพเจ้าแล้ว จำจะต้องขอลาเอากลับไป ว่าแล้วก็กวักเรียกนกกะเรียนออกจากฝาผนังแล้วขึ้นนั่งบนหลังบินออกจากร้านไป นางซินสีและคนทั้งปวงในร้านต่างได้เห็นเป็นอัศจรรย์ เพราะตั้งแต่เกิดมาก็มิได้เคยเห็นอย่างนี้ จึงต่างก็จัดหาดอกไม้ธูปเทียนตั้งโต๊ะบูชากราบไว้ แล้ววาดรูปลื่อท่งปินขี่นกกะเรียนไว้บูชาทุกบ้านตั้งแต่วันนั้นมา ในเรื่องนี้ นักจินตกวีคนหนึ่งชื่อ ซุยเหาสมัยแผ่นดินถัง ได้แต่งคำฉันท์ชื่อชิดลุดพรรณาชมศาลานกกะเรียนที่ตำบลเองบู๊เขตเมืองฮั้นเอี๋ยงไว้อย่างไพเราะน่าฟังดังนี้ เซียนประทับกะเรียนสิดูปลาด แลผะงาดละลิ่วไป พินิจสิเจริญ ณ หฤทัย คะนึงอยู่มิรู้หาย ศาลาจึ่งตรากะละชื่อ จิระถือมิเสื่อมคาย ว่าศาลากะเรียนวิจิตะพราย พิไลเลิศบรรเจิดตา พระพรายก็รวยระบัดรื่น หฤชื่นและหรรษา เพ่งดู ณ เบื้องอุระนภา ก็เห็นเมฆละลิ่วลอย สระกว้างก็เปี่ยมละออชล มัจฉะพ่นเป็นฟองฝอย ต้องแสงประหนึ่งระตะนะพลอย ที่โรยร่วง ณ พื้นธาร แลเห็นชลระริกกระเพื่อม ละลอกเลื่มละแลลาน ฮั้นเอี๋ยงโรจะนะโอฬาร นครเอี่ยม ณ ฝั่งชล เองบู๊ ถิ่นปทุมะเรศ หอมวิเศษสุคนธ์ดล กล่อมจิตประหนึ่งสิต้องมนต์ สะกดไว้ ณ ยามเย็น บ่มิรู้สะถานสถิตย์ถิ่น ธะเซียนบินบ่แลเห็น บ่มิรู้มิชัดหฤเจน ว่าสถิตย์สะถานใด ได้แต่คะนึงมะนะสะตรึก ระลึกแนบฤทัยใน จวบชีพชีวะปะลัย บ่มิรู้มิลืมเลยฯ ฝ่ายลื่อท่งปิน ครั้นมาถึงทะเลสาบท่งเถง แลลงมาจากอากาศ ก็เห็นอาจารย์แลเซียนผู้ใหญ่ทั้งหลาย กำลังนั่งเล่นหมากรุกกันอยู่ที่ศาลาริมฝั่ง จึงบังคับนกให้ร่อนลงยังพื้นดิน แล้วนกก็หายไป ลื่อท่งปินเข้าไปกราบอาจารย์ และกระทำคำนับเซียนทั้งปวง ฮั้นเจงหลีเห็นศิษย์มาตามเวลาที่กำหนดก็มีความยินดี กล่าวกับเพื่อนเซียนทั้งหลายว่า การเล่นหมากรุกวันนี้รู้สึกออกรสสนุก แต่จำเป็นจะต้องยุติ เพราะข้าพเจ้ามีกิจ ที่จะต้องนำศิษย์ผู้นี้ไปหาท่านลีเล่ากุน เซียนผู้หนึ่งจึงว่ การที่พวกเรามาประชุมเล่นหมากรุกอยู่ที่นี่ ก็เพื่อได้สนทนาให้เป็นที่เบิกบานใจประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งก็เพื่อคอยศิษย์ของท่านตามที่ท่านได้เล่าให้ฟัง และบัดนี้ศิษย์ของท่านก็ได้มาถึงแล้ว การเล่นของเราก็ไม่เป็นการจำเป็นอย่างไร ควรที่พวกเราจะพากันไปหาท่านลีเล่ากุนด้วยกัน เมื่อเห็นพร้อมกันดังนั้นแล้ว ต่างก็พากันเหาะไปยังเขาเล่งห่วยหวย ฝ่ายลีเล่ากุนและอวนคูเซียน นั่งเจริญสมาธิภาวนาอยู่ในถ้ำ เห็นแสงรัศมีต่าง ๆ ส่องลอดเข้ามาภายในสว่างดุจกลางวัน ก็รู้ว่าคณะเซียนกำลังจะมาชุมนุม ณ ที่นี้จึงให้อวนคูเซียนออกไปต้อนรับ อวนคูเซียนออกไปถึงประตูถ้ำ ก็เห็นเซียนทั้งหลายยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว ต่างก็คำนับกันและกัน แล้วต่างก็พากันเข้าไปภายในถ้ำ กราบท่านลีเล่ากุนแล้วนั่ง ณ อาสนะที่จัดไว้ ส่วนลื่อท่งปินนั้นยังคงยืนอยู่ โดยมิได้รับบัญชาให้ปฏิบัติอย่างใด เมื่อทุกคนได้นั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลีเล่ากุนจึงพูดว่า การที่ตังฮั่วจินหยินไปเกิดในมนุษย์โลกเป็นลื่อท่งปินนั้น ก็ด้วยเหตุที่ยังบำเพ็ญฌานยังไม่ถึงชั้นสูงสุด บัดนี้ ลื่อท่งปินได้มีความอุตสาหะบำเพ็ญเพียรบรรลุญาณอันสูงสุดแล้ว จึงเห็นสมควรให้ลื่อท่งปิน อยู่ในลำดับเซียนที่สามแห่งคณะโป๊ยเซียน ลื่อท่งปินก็คุกเข่าลง กราบสามครั้งด้วยความเคารพอย่างสูง แล้วเข้านั่ง ณ อาสนะในตำแหน่งเซียนลำดับที่สาม เซียนทั้งหลายต่างก็มีความยินดียิ่งนัก ต่างก็กระทำการสักการะลีเล่ากุน แล้วก็คำนับลาอวนคูเซียนออกจากถ้ำแก้วมณีกลับยังสำนักแห่งตน ๆ

เซียนองค์ที่ 2


เซียนองค์ที่ 2 ฮั้นเจงหลี
ในสมัยรัชกาลแห่งราชวงศ์ฮั่น ระหว่างปี พ.ศ. 337 ถึง พ.ศ. 376 ณ จวนเจ้าเมืองหุนตัง ได้เกิดมีแสงสว่างจ้าไปทั้งจวน ผู้คนชาวเมืองต่างตกใจคิดว่าไฟไหม้ จึงรีบพากันวิ่งไปเพื่อจะช่วยดับ แต่พอไปถึง ก็ไม่เห็นมีอะไร แต่ในขณะนั้นเป็นเวลาที่ฮูหยินภรรยาเจ้าเมือง ได้คลอดบุตรเป็นชาย รูปร่างล่ำใหญ่ผิดเด็กอ่อนธรรมดาสามัญ หน้าผากกว้าง ขนคิ้วดก ตายาว หูยาน จมูกใหญ่ ปากกว้างเจ้าเมืองผู้บิดาให้ชื่อลูกชายของตนว่า เจงหลีกั๊ก เกิดมาหกวันไม่ร้อง ไม่กินนมเหมือนเด็กทั้งปวง แต่พอวันที่เจ็ดจึงร้องและพูดว่า อันตัวเรานี้อยู่บนสวรรค์ แต่ปรากฏชื่อไปทั่วทิศ บิดามารดาได้ยินบุตรของตนพูดได้เช่นนั้น ก็ให้พิศวงอัศจรรย์ใจ คิดว่าเป็นศุภนิมิตมงคงอันวิเศษ ส่วนเจงหลีกั๊กนั้นเมื่อเติบใหญ่ขึ้น ก็มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เล่าเรียนหนังสือและตำราพิชัยสงคราม ทั้งฝึกหัดเพลงอาวุธก็เชี่ยวชาญว่องไว ต่อมาเมื่อท่านเจ้าเมืองผู้บิดาเห็นว่า ลูกชายมีอายุพอจะรับราชการได้แล้ว ก็ได้ส่งตัวให้เข้าไปรับราชการในเมืองหลวง เจงหลีกั๊กก็ได้เข้ารับราชการเป็นนายทหาร ครั้งนั้น ทางเมืองโทวฮวนได้ยกทัพบุกรุกตีเมืองด่านรายทางเข้ามา หัวเมืองด่านต่าง ๆ ก็ได้มีใบบอกเข้ามายังเมืองหลวง ฮ่องเต้ทางเมืองหลวงก็ทรงมีรับสั่งให้จัดกองทัพ คัดเลือกผู้ที่มีสติปัญญาและฝีมือ ที่สมควรจะเป็นแม่ทัพออกไปปราบปรามได้ ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ประชุมพิจารณาเห็นพร้อมกัน ที่จะตั้งเจงหลีกั๊กเป็นแม่ทัพใหญ่ เพราะเป็นผู้มีสติปัญญาและกำลังฝีมือเป็นที่ไว้วางใจได้ ฮ่องเต้าก็ทรงเห็นชอบ จึงทรงแต่งตั้งให้เจงหลีกั๊กเป็นไต้ง่วนส่วยเป็นแม่ทัพใหญ่ คุมพลยี่สิบหมื่นออกไปทำการปราบปรามพวกโทวฮวนครั้งนี้ เจงหลีกั๊กเมื่อได้รับแต่งตั้งแล้ว ก็ได้เรียกประชุมพลพร้อมด้วยอาวุธยุทธโธปกรณ์พร้อมสรรพ์ แล้วจึงกล่าวแก่บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่า การที่จะยกกองทัพออกไปปราบปรามพวกโทวฮวน ขอท่านทั้งหลายจงตั้งใจรับราชการ เพื่อป้องกันรักษาบ้านเมืองให้เป็นผลสำเร็จอย่าได้มีใจโลเลย่อท้อเลย ขอจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกำจัดข้าศึกให้พินาศพ่ายแพ้ไปโดยเร็วเถิด จึงจะสมศักดิ์ที่ได้เกิดมาเป็นชายชาติทหาร ที่ยอมเสียชีวิตเพื่อรักษาแผ่นดิน ส่วนผู้ที่ได้มอบกายเข้ามาเป็นพลทหารนั้นเล่าถ้าไม่มีใจห่วงใยทางหลังแล้ว ก็จะทำให้การเข้าต่อสู้ได้เป็นไปอย่างสุดกำลัง ไม่ห่วงใยในชีวิตตัว หวังแต่ความมีชัยเพื่อเป็นเกียรติแก่ตัวเป็นที่ตั้ง ครั้งแล้วเจงหลีกั๊กได้แต่งตั้งนายทหารทั้งปวง ให้เข้ารับตำแหน่งหน้าที่เป็นทัพหน้า ทพหลัง ปีกซ้าย ปีกขวา เป็นนายหมวดนายกองตามลำดับความสามารถ ครั้งเสร็จแล้วก็จุดประทัดเอาฤกษ์ยกออกจากเมืองหลวง การยกทัพครั้งนี้ มีพวกขุนนางทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย พร้อมทั้งพวกราษฏรพากันไปส่งเป็นอันมากแน่นถนนสองฟากจนถึงประตูเมือง ได้มีคำฉันท์ที่ไปส่งกองทัพในครั้งนั้น ได้แต่งไว้เพื่อเป็นเกียรติแก่เจงหลีกั๊กมีปรากฏดังนี้
ขุนพลเคลื่อนพหลขับ หมายสับริปูสลาย
อาวุธส่องแสงพราย ดุจะลายอสุนีย์
อริฮวนจุ่งพ่ายพัง พินาศฝั่ง ณ ปฐพี
กระจายกราดปลาดหนี บ่มิผินมาต่อกร
ขอจุ่งท่านจอมพล ฤทธิดลขจายจร
เรืองเดชสถาพร อนุสรณ์ตลอดกาล ฯ
เจงหลีกั๊กยกพลรอนแรมมาหลายวัน ก็ลุถึงเมืองกิจุ๊ย จึงตั้งค่ายลงนอกเมือง กองทัพของฝ่ายโทวฮวนนั้นตั้งค่ายอยู่ชายแดนเมือง เจงหลีกั๊กได้ยกทหารเข้าทำการรบพุ่งกับข้าศึกได้ชัยชนะ ตีทัพโทวฮวนแตกยับเยินไพร่พลทั้งนายทหารน้อยใหญ่ล้มตายลงเป็นอันมาก ศพนอนกลิ้งเกลื่อนไปทั่วบริเวณที่รบสุดจะประมาณได้ ขณะนั้นเป็นเวลาที่ทิก๋วยลี้เหยียบเมฆเหาะผ่านมาทางนั้นพอดี ได้กลิ่นซากศพที่ฟุ้งขึ้นมาบน ก็มีความสงสัยเล็งแลลงไปก็เห็นเจงหลีกั๊กแม่ทัพแห่งราชวงศ์ฮั่น กำลังต้อนไพร่พลไล่ฆ่าฟันกองทัพโทวฮวนอยู่อลหม่าน ก็ให้อนาถใจ ครั้นแล้วพลันก็ระลึกถึงคำของท่านลีเล่ากุนผู้อาจารย์ได้ว่าอันตัวแม่ทัพแผ่นดินฮั่นซึ่งกำลังกวัดแกว่งทวน ต้อนทหารของตนเข้าไล่ฆ่าฟันทหารโทวฮวนล้มตายเกลื่อนแผ่นดินนับด้วยหมื่นแสน ด้วยน้ำใจเหี้ยมปราศจากความเมตตาปราณีอยู่บัดนี้ คือ เดิมเป็นเทพดารักษาหอสมุดในเมืองสวรรค์ แต่มีความผิด เง็กเซียนฮ่องเต้จึงลงโทษให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ชื่อเจงหลีกั๊ก บัดนี้ได้มาเป็นแม่ทัพมีฝีมือของราชวงศ์ฮั่น ออกปราบปรามพวกโทวฮวน ทำจิตให้กำเริบดุร้ายฆ่าฟันคนด้วยกันเหมือนกับผักปลา จนกลิ่นฟุ้งขึ้นมาเช่นนี้ดูไม่เป็นการสมควร ทั้งความผิดบนสวรรค์ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่พอที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีกจำเราจะต้องทำการขัดขวางไว้ก่อนพอให้เจงหลีกั๊กหลุดพ้นออกจากวงการรบพุ่งแล้ว ต่อไปก็คงจะมีท่านผู้วิเศษผู้ใดผู้หนึ่งมาเป็นอาจารย์อบรมชักจูงให้พ้นเวรกรรมจากโลกมนุษย์ หันเข้าประพฤติบำเพ็ญเพียรต่อไป เราพิเคราะห์ดูก็สมจริงดังที่ท่านอาจารย์ได้ทำนายไว้ล่วงหน้านั้นทุกประการ เพราะถ้าเป็นแม่ทัพอื่นแล้ว กองทัพโทวฮวนก็คงไม่แตกพ่ายตายยับอย่างนี้ เมื่อคิดดังนั้นแล้ว ทิก๋วยลี้ก็ยังตัวลอยลงยังพื้นดินใกล้กับค่ายโทวฮวน ร่ายเวทย์แปลงเป็นคนชรา ถือไม้เท้าเดินโขยกเขยกตรงไปยังประตูค่าย ฝ่ายปุ่ดยู้แม่ทัพใหญ่โทวฮวน เมื่อยกมานั้น มีไพร่พลทหารถึงสิบห้าหมื่น มีความอิ่มใจที่จะได้ชัยชนะแต่ครั้นมาปราชัยยับเยินเสียทหารล้มตายไปกว่าครึ่งเช่นนี้ก็มีความวิตกเสียใจยิ่งนัก จึงปรึกษากับนายกองทัพทั้งปวงในอันที่จะทำการคิดรับศึกต่อไป ก็พอดีทหารยามเข้ามาคำนับแจ้งว่า มีตาแก่คนหนึ่งจะเข้ามาพบ ปุ่ดยู้จึงคิดว่าตาแก่ที่มานี้ คงจะมิใช่เป็นกลอุบายของข้าศึก แต่ถ้ามีอาการเป็นพิรุธอย่างไรเราก็จะฆ่าเสีย คิดแล้วจึงสั่งให้ทหารนำตัวเข้ามา ตาแก่ทิก๊วยลี้เข้ามาถึง ก็ยืนคำนับในฐานะผู้สูงอายุ ไม่คุกเข่าอย่างคนธรรมดาสามัญกระทำ ปุ่ดยู้พิจารณาเห็นท่วงทีกิริยาของตาแก่ มิใช่คนธรรมดาสามัญ จึงคำนับตอบแล้วถามว่า ท่านผู้เฒ่ามีกิจสิ่งใดจึงมาหาข้าพเจ้าถึงค่าย ทิก๋วยลี้จึงว่าข้าพเจ้ามานี้ ก็เพื่อมาแสดงความยินดีในชัยชนะของท่าน ปุ่ดยู้จึงว่า ก็ข้าพเจ้าแตกทัพยับเยินมาเดี๋ยวนี้ ซ้ำทหารก็บอบช้ำอย่างท่านก็เห็นอยู่ ที่ท่านมาพูดนี้ มิเป็นการมาเยาะกันเล่นหรือ ทิก๋วยลี้หัวเราะแล้วจึงว่า ท่านแม่ทัพไม่เข้าใจอันธรรมดาการสงครามรบพุ่งกันนั้น การแพ้และชนะย่อมเป็นธรรมดา อุปมาดังเล่นหมากรุก ซึ่งท่านไม่ควรวิตกทุกข์ร้อนวุ่นวายใจอย่างไร หมากรุกกระดานของท่านนัดนี้ เป็นแต่เพียงเบี้ยเม็ดถูกกินกระจัดกระจายไปเท่านั้น ส่วนตัวขุนและโคนม้าเรือยังบริบูรณ์อยู่ แต่คราวนี้ข้าพเจ้าว่า เราจะเดินแต้มของเราให้กระดานฝ่ายโน้นถึงกับขุนโคนแตกเพริดไปทีเดียว ข้าพเจ้าจะบอกอุบายให้ถ้าท่านเชื่อข้าพเจ้า ในค่ำคืนวันนี้ให้ท่านรวบรวมไพร่พลยกเข้าปล้นค่ายของเจงหลีกั๊ก ก็จะแก้การพ่ายแพ้ของท่านให้กลับมีชัยชนะได้ เหตุด้วยกองทัพฮั่นมีชัยในการรบใหญ่ย่อมจะมีความประมาท เลี้ยงดูกันเอิกเกริกขาดความระมัดระวัง เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงว่า ถ้าท่านยกเข้าปล้นค่ายเจงหลีกั๊กในคืนนี้แล้ว ก็จะได้ชัยชนะเป็นแน่ ทิก๋วยลี้พูดเท่านั้น แล้วก็ลากลับเดินออกจากค่ายไป พอตาแก่ทิก๋วยลี้กลับไปแล้ว ปุ่ดยู้ก็นิ่งตรึกตรองคำที่แนะนำ เห็นถูกต้องกับตำราพิไชยสงครามก็เห็นชอบจึงสั่งให้นายทหารทั้งปวง ให้คุมไพร่พลแยกออกเป็นสี่กองยกออกไปซุ่มอยู่ใกล้ค่ายข้าศึก ถ้าเห็นแสงไฟโพลงขึ้นเมื่อใด ก็ให้ขับทหารระดมเข้าตีค่ายข้าศึกจงพร้อมกันทั้งสี่ด้าน แต่นายทหารคนหนึ่งชื่อปิดฮุด ได้พูดท้วงขึ้นว่าแม่ทัพฮั่นคนนี้มีปัญญาลึกซึ้ง ข้าพเจ้ายังสงสัยถ้อยคำของชายแก่คนนั้นว่า จะเป็นกลศึก พอปุ่ดยู้ขยับปากจะพูดก็พอดีทหารประตูค่ายมาบอกว่า ตาแก่คนนั้นพอไปถึงประตูค่ายก็หายไป ปุ่ดยู้ได้ฟังดังนั้น ก็มีความยินดีนักจึงว่ากับปิดฮุดว่า พระบารมีของเจ้านายเรายิ่งนักแล้ว จึงได้บันดาลให้เทพดามาบอกอุบายให้เราได้ชัยชนะ ท่านอย่ามีความสงสัย จงรีบลงมือทำการโดยเร็วเถิด แล้วสั่งให้นายทัพนายกองทั้งปวง ให้ไพร่พลกินอาหารให้เสร็จก่อนพลบนี้ แล้วให้รีบยกออกไป คอยสังเกตดูสัญญาณตามที่ได้สั่งไว้ต่อไป ฝ่ายเจงหลีกั๊ก ครั้นได้ชัยชนะครั้งใหญ่ ตีทัพโทวฮวนแตกพ่ายยับเยินไปเช่นนั้น ก็มีความยินดียิ่งนัก ให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ แล้วปูนบำเหน็จรางวัลแก่นายทัพนายกองโดยทั่วหน้า แล้วสั่งสุราอาหารเลี้ยงไพร่พลอย่างสนุกร่าเริงจนเวลาล่วงเข้าสองยาม ขณะนั้นบั่งกี๊นายทหารเอกได้เข้ามาเตือนเจงหลีกั๊กว่า ข้าพเจ้าเกรงว่า ในคืนวันนี้น่ากลัวฝ่ายโทวฮวนจะย้อนกลับมาทำการปล้นค่าย เพราะยังมิได้พ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง ขอให้ท่านจงพิเคราะห์พิจารณาดู เจงหลีกั๊กได้ฟังจึงว่า เราได้สั่งพวกนายทหารทุกหมวดกองในค่ายหลวง ให้ทำการรักษาหน้าที่อยู่ยามตามไฟโดยกวดขันแล้ว แต่เพื่อให้เป็นที่วางใจ ขอท่านจงไปสั่งกำชับให้นายหมวดนายกองเหล่านั้นให้เพิ่มความระมัดระวังให้เข้มงวดทุกค่าย อย่างเห็นแก่หลับนอน บั่งกี๊ก็ออกไปปฏิบัติตามคำสั่งทุกประการ แต่ด้วยอำนาจของทิก๋วยลี้ได้เป่าคาถาให้ไพร่พลในกองทัพฮั่นหลับสนิทหมดทุกค่ายแล้วก็บันดาลให้เพลิงไหม้เกิดขึ้นที่หลังค่ายใหญ่ เป่าลมให้กระพือพัดจนลุกลามไหม้ไปทั่วทุกค่าย พวกทหารมีความตกใจ ตื่นขึ้น ช่วยกันดับไฟเป็นอลหม่าน กองจุดเพลิงของปุ่ดยู้มาถึง ก็ซ้ำเข้าวางเพลิงจุดซ้ำเข้าไปอีก ไฟเลยลุกลามขนานใหญ่สุดที่จะดับได้ บรรดาทหารฮั่นทุกคนต่างก็มีความตื่นตกใจ พากันแตกหนีไม่คิดต่อสู้ กองซุ่มทั้งสี่ทิศของฝ่ายโทวฮวนครั้นเห็นไฟสัญญาณโพลงขึ้น ต่างก็โห่ร้องเข้าโจมตีพร้อมกัน ปุ่ดยู้ก็ขับม้าควงง้าวนำทหารทุกหมวดกองเข้าทำลายค่ายใหญ่ ส่วนเจงหลีกั๊กก็ขี่ม้าถือทวนขับพลเข้าทำการรบและดับเพลิง แต่ลมกลับโหมกระพือพัด ช่วยให้เพลิงลุกลามใหญ่โตยิ่งขึ้น แสงสว่างดังกลางวัน และเห็นข้าศึกรุมล้อมทั้งสี่ด้านอย่างหนาแน่น เสียงโห่ร้องสนั่นหวั่นไหว จึงตรงเข้ารบพุ่งอย่างตลุมบอน ครั้นพบกับปุ่ดยู้ซึ่งกำลังขับทหารหนุนเนื่องเข้ามาเช่นนั้น เจงหลีกั๊กก็ขับม้าตรงเข้าสู้รบได้สิบเพลง เห็นทหารของตนรวนเรระส่ำระสาย แตกหนีไปคนละทางสองทาง กับทั้งมิรู้กำลังข้าศึกในขณะนั้นว่ามากน้อยเพียงใด จึงเบนม้าผละออกจากที่รบ แต่ก็ยังไม่ทันเพราะข้าศึกดักขวางทางอยู่อย่างมากมาย ทั้งปุ่ดยู้ก็ควบม้าไล่ติดตามมาจวนจะทัน เจงหลีกั๊กก็เร่งกำลังเข้าสู้รบจวนจะเสียที พอดีบั่งกี๊มาทัน ก็ขับทหารเข้ารบพุ่ง กันเอาเจงหลีกั๊กออกพ้นจากที่ล้อมได้ ก็พอดีม้าที่เจงหลีกั๊กขี่ถูกเกาทัณฑ์ล้มลง บั่งกี๊เห็นดังนั้นก็ขับม้าไล่ฆ่าฟันทหารม้าโทวฮวน แย่งได้ม้ามาตัวหนึ่ง ให้เจงหลีกั๊กขี่หนีออกจากที่ล้อมได้ แล้วก็พากันควบม้าจนถึงเชิงเขา เหลียวกลับไปดูค่ายใหญ่ เห็นเพลิงยังโหมติดสว่างแจ้งอยู่ ไพร่พลทั้งหลายก็แตกหนีกระจัดกระจายไปสิ้น คงมีเหลือตามมาประมาณสองร้อยคน เจงหลีกั๊กเห็นแล้ว หวนคิดถึงความพ่ายแพ้ของตน ก็ให้มีความโทมนัสเสียใจยิ่งนัก ร้องขึ้นจนสุดเสียง พลัดตกจากหลังม้าสลบแน่นิ่งไป บั่งกี๊กับทหารต่างช่วยกันนวดเฟ้น จนเจงหลีกั๊กได้สติขึ้นขี่ม้าได้ พอดีทหารโทวฮวนโห่ร้องไล่ติดตามมาทัน บั่งกี๊จึงว่า ขอท่านแม่ทัพจงหลีบหนีไปก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะรอรบรั้งท้ายกับพวกข้าศึกไว้ แล้วจะตามท่านแม่ทัพไปต่อภายหลัง เจงหลีกั๊กรับคำแล้ว ก็ขับม้าหนีเข้าไปตามราวป่าแต่ผู้เดียว ส่วนบั่งกี๊กับทหารทั้งหลายก็หันเข้าทำการสู้รบ จนข้าศึกแตกพ่ายออกไป (เรื่องของเจงหลีกั๊กในครั้งชีวิตมนุษย์ตามต้นฉบับก็จบลงเพียงนี้ ต่อแต่นี้ไปกล่าวถึงทางดำเนินเข้าสู่ความเป็นเซียน) เมื่อเจงหลีกั๊กขับม้ามาแต่ผู้เดียวนั้น ได้เหลียวกลับไปดูแลเห็นแสงไฟเบื้องหลังห่างไกลออกไป มิได้ยินเสียงโห่ร้องก็ค่อยคลายใจ ผ่อนบังเหียนปล่อยให้ม้าเดินไปตามสบาย พลางคิดคำนึงว่า อันตัวเราได้เป็นแม่ทัพของพระเจ้าแผ่นดิน มีอำนาจถืออาชญาสิทธิ์ ควบคุมทะแกล้วทหารมากระทำการรบกับข้าศึกถึงยี่สิบหมื่น หวังที่จะกำจัดข้าศึกอันเป็นศัตรูแผ่นดินให้ราบคาบ ให้บ้านเมืองได้อยู่เย็นเป็นสุข และทำความชอบฝากชื่อเสียงไว้ให้ปรากฏในแผ่นดิน แต่ก็หาสมปรารถนาไม่ ทีแรกก็ดูจะเป็นผลด้วยได้ชัยชนะ แต่ก็เป็นด้วยเคราะห์กรรมความประมาท จึงถูกข้าศึกเผาค่าย เสียทีแตกยับเยินเสียไพร่พลไปเป็นอันมาก ความดีทั้งปวงก็สิ้นลง ได้รับแต่ความอัปยศ ถึงแม้พระมหากษัตริย์จะทรงพระกรุณาไม่ลงพระราชอาชญา เราจะแบกหน้ากลับไปบ้านเมือง ให้เขาหัวเราะเล่นได้อย่างไร เจงหลีกั๊กรำพึงไป พลางขับม้าไป อย่างไม่มีจุดหมายตลอดคืน จนรุ่งสว่าง มิรู้ว่ามาถึงแห่งใดตำบลใด เหลียวมองหาผู้คนที่พอจะไต่ถาม ก็ไม่เห็นมี จึงคงขับม้าต่อไปเรื่อย ๆ อย่างเสี่ยงบุญเสี่ยงกรรม จนกระทั่งพลบค่ำแสงจันทร์สว่าง จะเหลียวไปทางใด ก็ล้วนเป็นป่าทึบเขาสูงทมึน เสียงสัตว์กับเสียงลมดังแซ่ร้องน่าสพรึงกลัว ทำให้ต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น คิดว่านี่ถ้าข้าศึกตามมา เราจะหนีไปอย่างไร ขณะที่นั่งคิดทอดอาลัยบนหลังม้าเรื่อยมานั้น ก็พอเห็นนักพรตนิกายหูผู้หนึ่ง ถือไม้เท้าเดินออกมาจากซอกเขา เจงหลีกั๊กก็ลงจากหลังม้า ประสานมือคำนับด้วยความยินดีแล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นนายทหารของแผ่นดินฮั่น ยกทัพมากำจัดพวกโทวฮวนที่ปลายแดนเมืองกิจุ๊ย เสียทีแก่ข้าศึกแตกหนีหลงมาแต่ผู้เดียว ขอท่านได้โปรดเมตตา ให้ข้าพเจ้าได้พัก ณ สำนักของท่านสักคืนหนึ่ง ต่อรุ่งขึ้นจึงจะขอลาท่าน ออกสืบหากองทหารต่อไป นักพรตหูรูปนั้นก็พยักหน้า แล้วนำเจงหลีกั๊กเดินต่อไปอีกประมาณสามลี้เศษถึงตำบลแห่งหนึ่ง จึงหยุดชี้มือตรงไปข้างหน้า แล้วพูดว่า เบื้องหน้าโน้นเป็นสำนักของท่านอาจารย์ตังฮั่วจินหยินผู้วิเศษ ท่านจงไปนมัสการท่านและขอพักอยู่เถิด ว่าแล้วนักพรตผู้นั้นก็ลาหลีกไป เจงหลีกั๊กผูกบังเหียนม้าไว้กับต้นไม้ แล้วก็ยังยืนมองรีรออยู่ ก็พอได้ยินเสียงคนเดินร้องเป็นบทคำฉันท์โง้วลุด เป็นธรรมภาษิตอันไพเราะว่า เราเนาว์สราญสุข นิระทุกข์เกษมสันติ์ดุจะชาติละดาวัลย์ สะพรั่งจิต ณ แผ่นผาความครุ่นอีกกำหนัด ก็สลัดมินำพาวิเวกและเอกา ดุจะเมฆสิลอยลมผิวะแม้จะลอยล่อง ก็มิข้องอาลัยสมบ่คิดบ่ปรารมย์ บ่มีห่วงอาลัยมีสถิตย์เหนือ ฌ อาสน์เอี่ยม กระจ่างเยี่ยมจรัสศรีครั้นรัตติกาลมี ศศีส่อง ณ แนวไพรแม้พาหิระชน จลาจลและบัลลัยเรามั่นสถิตย์ใน สุกะธรรมะบ่คลอนหากใครมาพบเรา ก็จะแนะจะสั่งสอนชี้ทางอันบวร เสถียรสุขนิรันด์กาล ฯเจงหลีกั๊กจึงคิดว่าผู้ขับคำฉันท์อันไพเราะดั่งนี้ คงจะเป็นนักพรตผู้ทรงศีลและทรงภูมิปัญญาเป็นแน่ ก็มองดูไปทางที่มาของเสียงนั้น มิช้าก็แลเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งสวมเสื้อขนสัตว์สีขาวถือไม้เท้าเดินออกมาจากประตู เข้ามายืนคำนับอยู่ตรงหน้าถามว่า ท่านที่มานี้ชื่อเจงหลีกั๊กเป็นแม่ทัพแห่งแผ่นดินฮั่นใช่หรือไม่ เจงหลีกั๊กได้ยินดังนั้นก็ตกใจจึงคิดว่า ชายชราผู้นี้เป็นผู้วิเศษแน่แล้ว ก็ประสานมือขึ้น คำนับด้วยกิริยาอันนอบน้อมพลางตอบว่า ถูกแล้วท่านชายชรา หรือที่แท้คือตังฮั่วจินหยิน จึงว่าทำไมท่านไม่พัก ณ สำนักโน่นเล่า เจงหลีกั๊กได้ฟังดังนั้น จึงเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นให้ตังฮั่วจินหยินฟัง แล้วกล่าวว่า ขอท่านได้เมตตาให้ข้าพเจ้าได้พักอาศัยสักครั้งหนึ่งเถิด จะมิลืมคุณท่านเลย ตังฮั่วจินหยินก็นำเจงหลีกั๊กเข้าไปในสำนักแล้วจัดอาหารเจมาให้ ขณะที่เจงหลีกั๊กกินอาหารอยู่นั้น ตังฮั่วจินหยินจึงว่า ดังข้าพเจ้าจะว่าให้ท่านฟัง อันลาภยศ สรรเสริญ ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแต่จะหาความแน่นอนมิได้ ดุจก้อนเมฆที่เลื่อนลอยแปรรูปอยู่ในอากาศ ฉะนั้น มนุษย์ชอบก่อเหตุทำสงครามอันร้ายแรง เอาแต่รบราฆ่าฟันก่อกรรมสร้างเวรหาขอบเขตมิได้ ขอให้ท่านจงพิจารณาดูให้ลึกซึ้งสักหน่อย ตั้งแต่กาลโบราณมาจนปัจจุบันนี้ บ้านเมืองประเทศเขตแดนต่าง ๆ ที่มีเจ้าครอง ก็มิใช่ว่าจะเป็นของกษัตริย์ราชวงศ์เดียว ลาภยศเกียรติศักดิ์หรือคำสรรเสริญเยินยอก็มิใช่จะมีแต่บุคคลเดียวสกุลเดียว ย่อมผลัดกันไปเปลี่ยนกันมา เอาเป็นแน่นอนหาได้ไม่ เปรียบประดุจนอนหลับฝันไปแล้วตื่นขึ้น ฉะนั้นข้าพเจ้าได้เล็งเห็นความไม่เป็นแก่นสารของโลกดั่งนี้ จึงได้หลีกเลี่ยงจากความครอบงำเหล่านั้นเสีย ปลีกตัวออกมาอยู่ด้วยความวิเวกสันโดษตามลำพังตน มิเกี่ยวข้องวุ่นวายกับใคร แม้ว่าจะยังมิลุล่วงถึงผลสำเร็จโดยสมบูรณ์ก็ตาม แต่ก็ได้กำจัดเยื่อใย อันเป็นอำนาจของโลกมิให้เข้ามาผูกมัดได้ อันตัวของท่านแม่ทัพเองเล่า ก็ได้ลิ้มรู้สึกในรสเหล่านี้มา นับว่าพอสมควรแล้ว จะมามัวหลงคิดอาลัยอยู่ในลาภยศสรรเสริญสุข อันมิใช่วิสัยของนักปราชญ์ด้วยเหตุอันใด ข้าพเจ้าเห็นไม่เป็นการสมควรเลย จงเอาตัวรอดเสียแต่บัดนี้เถิด เจงหลีกั๊กได้ฟัง ก็นิ่งอยู่มิได้ว่าประการใด ครั้นกินอาหารอิ่มแล้ว ก็ลุกจะเดินออกไปดูม้า ตังฮั่วจินหยินก็ว่าม้าของท่านนั้นเด็กได้จูงไปปล่อยให้กินหญ้าอยู่ทางหลังสำนักแล้ว อย่ากังวลเลย แล้วก็จัดที่ให้เจงหลีกั๊กได้พักผ่อนหลับนอน เจงหลีกั๊กเอนตัวลงนอน แต่ก็ยังหาได้หลับไม่เพราะยังครุ่นคิดรำพึงถึงถ้อยคำของตัวหัวจินเหยิน ที่ได้กล่าวกับตนนั้น ก็เห็นจริงด้วยทุกอย่างทุกประการ จนจิตสงบเยือกเย็น เกิดความเบื่อหน่ายขยะแขยงในลาภยศและราคะ คิดแต่จะหลบออกสู่ที่สงบ เพื่อเจริญภาวนาบำเพ็ญเพียรจนกระทั่งม่อยหลับไป รุ่งเช้าตังฮั่วจินหยินให้ศิษย์จัดอาหารเจให้เจงหลีกั๊กกิน เสร็จแล้วเจงหลีกั๊กก็คุกเข่าลงกราบตังฮั่วจินหยินสามครั้ง ตามแบบอย่างศิษย์พึงกระทำต่ออาจารย์ แล้วพูดว่า ข้าพเจ้านี้มัวเมามานานถูกกิเลสราคะครองงำจนตาเกือบจะมืดบอด ต่อได้มารับฟังโอวาทคำชี้แจงของท่านอาจารย์ จึงทำให้ได้สติรู้สึกสำนึกตน ข้าพเจ้าขอมอบตัวเป็นศิษย์ ยึดท่านอาจารย์เป็นที่เคารพตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอท่านอาจารย์ได้เมตตาแนะนำสั่งสอน ให้ข้าพเจ้าได้พ้นจากทุกข์อันยุ่งเหยิงนี้ด้วย ตังฮั่วจินหยินก็รับว่าจะช่วยแนะนำสั่งสอนให้ด้วยความเต็มใจ ตังฮั่วจินหยินก็ได้เริ่มสั่งสอนวิธีการเจริญภาวนาบำเพ็ญเพียรให้แก่เจงหลีกั๊กทุกสิ่งทุกประการ ตลอดจนฝึกอบรมทวิธีใช้ธาตุไฟในร่างกาย ออกเผาสรรพสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นเงินและทอง กับมอบกั้นหยั่นวิเศษให้เล่มหนึ่ง ชื่อแชเล้ง พร้อมทั้งประสิทธิ์มนต์สำหรับใช้กำกับกั้นหยั่นนั้นให้ด้วย เจงหลีกั๊กก็ตั้งใจหมั่นพยายามร่ำเรียนฝึกอบรมตน จดจำถ้อยคำของอาจารย์ที่ได้สั่งสอนไว้โดยแม่นยำจนชำนิชำนาญ พอเห็นเด็กจูงม้ามายืนคอยอยู่ข้างนอก จึงคุกเข่ากราบอาจารย์สามครั้งแล้วว่า ข้าพเจ้าจะต้องจากท่านอาจารย์ไปบัดนี้ แล้วสักเมื่อใด จึงจะได้มารับโอวาทคำสั่งสอนจากท่านอาจารย์อีกเล่า ตังฮั่วจินหยินได้ฟังว่า เจ้าอย่าวิตกไปเลย จงกลับไปหาครอบครัวบุตรภรรยาก่อนเถิด เพราะเขาลือกันว่าเจ้าเสียทัพตัวตายในที่รบ ครอบครัวของเจ้าต่างก็มีความเศร้าโศกทุกข์ร้อนเป็นอันมาก ต่อเมื่อได้เยี่ยมเยียนกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จงปลีกตัวออกไปหาที่วิเวกตั้งใจอุตสาหะบำเพ็ญเพียร คงจักได้สำเร็จบรรลุผลเป็นเซียนในชาตินี้เป็นแน่ ชื่อเสียงของเจ้าก็จักเป็นที่เคารพบูชาระบือไปไกล เราจะช่วยชี้หนทางให้เจ้าได้เดินทางไปพบครอบครัวบุตรภรรยาในวันนี้ และบางทีต่อไปภายหน้าเราอาจจะต้องเป็นศิษย์ของเจ้าก็ได้ เจงหลีกั๊กได้ฟังคำอาจารย์ว่า จะต้องมาเป็นศิษย์ตนเช่นนั้นก็มีความสงสัยนัก แต่ไม่อาจจะซักถามได้ด้วยความเคารพและยำเกรงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ภายใน ครั้นแล้วจึงแต่งตัวเหน็บกั้นหยั่นวิเศษ สะพายเกาทัณฑ์ ถือทวนรับบังเหียนม้าจากเด็ก ออกจูงเดินตามอาจารย์ไปราวครึ่งลี้ ตังฮั่วจินหยินหยุดแล้วชี้บอกว่า ทางหลวงอยู่ข้างหน้าโน้นเจ้าจงเดินทางไปโดยปลอดภัยเถิด ส่วนเราขอลาเจ้า ณ บัดนี้ ว่าแล้วก็หายวับไป เจงหลีกั๊กตกตลึงยืนนิ่งดุจถูกมนต์สะกด จนม้าร้องขึ้นจึงได้สติ เหลียวไปดูสำนักที่อาศัยของอาจารย์ก็ไม่เห็นมีแต่สักหลัง จึงคุกเข่าลงกับพื้นดินกราบลงอีกสามครั้ง จึงขึ้นม้าขับไปจนถึงทางหลวง ก็จำได้ว่าเป็นแดนเมืองหุนตัง ซึ่งระยะทางห่างไกลจากเมืองกิจุ๊ยตั้งหมื่นลี้ ครั้นเจงหลีกั๊กมาถึงบ้าน เห็นผู้คนบ่าวไพร่ไว้ทุกข์กันทั้งสิ้น ฝ่ายนางโพลีฮูหยินได้เห็นสามีกลับมาเช่นนั้นก็มีความยินดียิ่งนัก เรียกบุตรหญิงชายบ่าวไพร่ทุกคนให้มากราบไหว้ แล้วเล่าเรื่องที่ทหารแตกทัพมาบอกว่า เจงหลีกั๊กได้ทำการรบกับพวกโทวฮวนจนตัวตายในที่รบ จึงมีความเศร้าโสกเสียใจ และจัดการเซ่นไหว้และไว้ทุกข์ดังที่ได้มาเห็นอยู่นี้ และว่าบัดนี้ท่านก็ได้กลับมาแล้วเป็นอันหมดทุกข์หมดโศกขอให้อายุยืนสืบไป แล้วฮูหยินก็สั่งคนใช้ให้จัดสุราอาหารมาเลี้ยงดู เป็นการฉลองต้อนรับสามีด้วยความปิติยินดี พอเจงหลีกั๊กและครอบครัวเตรียมจะลงมือบริโภคอาหาร ก็พอเจงหลีกั๊งผู้พี่ชายที่ลาออกจากราชการมาถึง เพื่อแสดงความยินดี เจงหลีกั๊กก็เลยเชิญให้เข้านั่งโต๊ะด้วยกันเจงหลีกั๊กก็ถามว่าเหตุใดหรือพี่เราจึงลาออกจากราชการเสียแต่ยังไม่ถึงวัยชรา เจงหลีกั๊งได้ฟังดังนั้น ก็เล่าให้น้องชายฟังถึงความเบื่อหน่ายต่อชีวิตทางโลก ที่ลาออกมานี้ก็เพื่อหวังที่จะแสวงหาที่สงบสงัด เพื่อได้ประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญเจริญภาวนาสมาธิ ให้พ้นจากความยึดเหนี่ยวของโลก เจงหลีกั๊กก็ได้เล่าเรื่องของตนตั้งแต่แตกทัพหนีข้าศึกไป จนกระทั่งได้พบกับตังฮั่วจินหยิน ได้ศึกษาวิธีการปฏิบัติบำเพ็ญฌานและเล่าเรียนเวทย์มนต์คาถาต่าง ๆ ทั้งตังฮั่วจินหยินผู้อาจารย์ได้มอบกั้นหยั่นแชเล้งให้เล่มหนึ่ง และท่านอาจารย์ได้บอกว่ากั้นหยั่นเล่มนี้มีอิทธิฤทธิ์ยิ่งนัก แต่ยังมิได้ทดลองเลย เมื่อได้กินสุราอาหารเลี้ยงดูกันเป็นที่อิ่มหนำสำราญแล้ว เจงหลีกั๊งก็ลากลับไป ส่วนเจงหลีกั๊กอยู่บ้านเป็นเวลาหลายวัน จึงคิดว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงมองอาญาสิทธิ์ให้เรา เป็นแม่ทัพไปปราบปรามข้าศึก แต่เรากลับเสียทัพหลบหนีเอาตัวรอด ย่อมมีความผิดตามกฏอัยการศึกโทษถึงประหารชีวิต ฉะนั้นเราจะมาหลบอยู่กับบ้านเช่นนี้ไม่ควร โทษผิดจะมีมาถึงครอบครัวบุตรภรรยาด้วย คิดดังนั้นแล้ว จึงสั่งภรรยาให้กำชับลูกเต้าและบ่าวไพร่ อย่าแพร่งพรายให้เรื่องที่ตนกลับมาบ้านนี้ รั่วไหลไปถึงเมืองหลวงเป็นอันขาด ด้วยจะมีพวกขุนนางที่อาจดอิจฉาริษยา จะเท็จทูลพระเจ้าแผ่นดินให้ลงพระราชอาญาทั้งครัวเรือน ฮูหยินก็สั่งกำชับผู้คนภายในบ้านตามที่สามีสั่งทุกประการ เจงหลีกั๊กได้ปรึกษากับเจงหลีกั๊งด้วยเรื่องที่จะออกไปแสวงหาที่วิเวก เพื่อถือศีลบำเพ็ญพรตอยู่เป็นเวลาหลายวัน ครั้นเป็นที่ตกลงกันแล้ว ทั้งสองพี่น้องก็อำลาบุตรภรรยาญาติมิตร แต่งเป็นเต้าหยินออกเดินทางเข้าสู่ราวป่าด้วยกัน เต้าหยินทั้งสองเดินทางมาถึงป่าใหญ่แห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงคนโห่ร้องอึงคนึงอยู่ทางป่าอีกด้านหนึ่ง จึงชวนกันขึ้นไปดูบนไหล่เขา เห็นคนเป็นอันมากกำลังต้อนไล่เสือใหญ่ออกจากป่า และถูกเสือตบกัดบาดเจ็บก็หลายคนด้วยปรากฏว่าในป่านี้มีเสือใหญ่ดุร้ายตัวหนึ่ง ชอบออกเที่ยวคอยทำร้ายกัดกินคนอยู่เสมอ มาวันหนึ่งเสือตัวนี้ได้ตะครุบเอาชายหนุ่มคนหนึ่งไปกินเสีย ชายผู้นี้เป็นคนกำพร้าบิดา อยู่แต่มารดา ได้ทำมาหาเลี้ยงชีพโดยหาไม้ฟืนและของป่าขาย เมื่อมารดาของชายผู้นั้นรู้ว่าบุตรของตนถูกเสือกัดตาย ก็ร้องไห้จนสลบ แล้วไปร้องเรียนต่อนายอำเภอขอให้จัดการกำจัดเสือเป็นการแก้แค้น และมิให้ใครได้รับความเดือดร้อนอีกต่อไป นายอำเภอมีความสงสารเป็นอันมาก จึงเกณฑ์ชาวบ้านออกทำการล่าจับเสือร้ายตัวนั้น ดังที่เต้าหยินพี่น้องกำลังยืนดูอยู่ ณ บัดนี้ ผู้คนทั้งหลายกำลังไล่เสือมา ครั้นเห็นเต้าหยินสูงอายุรูปร่างสง่าผึ่งผายยืนดูอยู่ที่ไหล่เขา ก็มีความยินดีเป็นอันมากชวนกันขึ้นไปกราบไหว้ขอร้องให้ช่วยกำจัดเสือร้ายนั้นเพราะลำพังกำลังตนเห็นจะจับได้โดยยาก เพราะเป็นเสือดุฉกรรจ์ ทั้งมีกำลังประเปรียวว่องไว เจงหลีกั๊งจึงพูดกับเจงหลีกั๊กว่า เจ้าก็มีกั้นหยั่นวิเศษอยู่กับตัว ลองเอามาใช้ช่วยคนเหล่านี้กำจัดเสือร้าย ให้คนทั้งปวงได้รับความร่มเย็นสักที เจงหลีกั๊กก็รับคำ ชักกั้นหยั่นออกขว้างไป กั้นหยั่นก็ลอยตรงเข้าตัดคอเสือขาดกระเด็น แล้วก็กลับมาเข้าฝักตามเดิม ชาวบ้านเหล่านั้นครั้นเห็นเสือตาย ต่างก็มีความดีใจเป็นอันมากพากันกราบไหว้ แล้วช่วยกันหามเสือนั้นไปส่งแก่นายอำเภอ ส่วนเจงหลีกั๊กและเจงหลีกั๊งก็ลงจากไหล่เขา เดินมุ่งหน้าต่อไปจนถึงเขาอีกลูกหนึ่ง ตรงเชิงเขาเป็นทำเลภูมิฐานร่มเย็น สมควรเป็นที่พำนักเพื่อปฏิบัติธรรม จึงได้ช่วยกันสร้างสำนักขึ้น เข้าอยู่อาศัยเจริญสมาธิภาวนานับแต่บัดนั้นมา เมื่อมีเวลาว่างก็ได้ออกท่องเที่ยวเยี่ยมเยียนยังสำนักเต้าหยินและนักพรตต่าง ๆ เพื่อได้ศึกษาเพิ่มเติมเสมอมาเป็นเวลาหลายปี มาคราวหนึ่งเจงหลีกั๊กเที่ยวไปตามตำบลต่าง ๆ เห็นบรรดาคนทั้งหลายตามตำบลที่ผ่านไปมีร่างกายซูบซีดผอมเหลืองด้วยความอดอยากหิวโหย ทำมาหากินได้ข้าวปลาอาหารมาไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ให้มีความสมเพชเวทนายิ่งนัก ครั้นกลับมาถึงสำนัก ก็ได้แต่ครุ่นคิดรำพึงถอนใจใหญ่ เจงหลีกั๊งเห็นดังนั้น ก็มีความสงสัยถามว่า มีเรื่องอะไรหรือจึงมีอาการประดุจทุกข์ร้อนเช่นนั้น เจงหลีกั๊กก็เล่าเรื่องตามที่ตนไปได้พบเห็นมานั้นให้เจงหลีกั๊งฟังทุกประการ เจงหลีกั๊งจึงว่า ซือตี๋ก็ได้เล่าเรียนวิชาใช้ธาตุไฟในร่างกายเผาสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นเงินเป็นทองได้ ก็ทำไมจึงไม่คิดทำเงินทำทองแจกคนยากคนจนบ้างเล่า อันจะเป็นบุญกุศลหาน้อยไม่ เจงหลีกั๊กได้ฟังดังนั้นจึงว่า ต่อเมื่อชือเฮียพูดนี่เอง ข้าพเจ้าจึงนึกได้ รุ่งขึ้นสองพี่น้องกินอาหารเสร็จแล้ว ก็เดินทางออกจากสำนักตรงไปยังตำบลที่อดอยาก แล้วเดินเข้าไปยังที่ ๆ มีกองก้อนหินใหญ่น้อยที่มีเป็นอันมากในแถวนั้น เจงหลีกั๊กจึงทำพิธีขับเอาธาตุไฟออกจากร่างกาย เผาก้อนหินเหล่านั้น จนกลายเป็นก้อนทองและเงินไปจนสิ้น เจงหลีกั๊งดีใจเป็นอันมาก รีบไปป่าวร้องให้พวกชาวบ้านในตำบลนั้นไปรับแจก เต้าหยินสองพี่น้องก็ทำการแจกก้อนเงินก้อนทองให้แก่คนยากจนเหล่านั้นเป็นเวลาหลายวันจึงเสร็จ เห็นคนทั้งหลายค่อยมีความสุขสบายขึ้นแล้วก็เดินทางกลับสำนักตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรเจริญภาวนาต่อไป ครั้นล่วงมาวันหนึ่งเจงหลีกั๊กและเจงหลีกั๊งกำลังเข้าสมาธิเจริญฌานอยู่ พลันก็ได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะบรรเลงลงมาจากอากาศ จึงรีบลุกเดินออกจากสำนักแหงนขึ้นดูไปบนอากาศ ก็เห็นทิก๋วยลี้เหยียบเมฆลอยลงมายังพื้นดิน ก็พากันคุกเข่าลงกราบด้วยความเคารพ และดีใจยิ่งนัก ทิก๋วยลี้จึงพูดว่า บัดนี้ท่านลีเล่ากุนผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ ให้ข้าพเจ้ามารับเจงหลีกั๊ก ซึ่งมีชื่อปรากฏในบัญชีของสำนักว่า ฮั้นเจงหลีไปหาท่านบัดนี้ เจงหลีกั๊กได้ฟังดังนั้น ก็กราบลงอีกสามครั้ง แล้วสั่งเสียเจงหลีกั๊งผู้พี่ชายให้อุสาหะปฏิบัติบำเพ็ญเพียรโดยเคร่งครัดต่อไป ครั้นสั่งแล้วก็พร้อมด้วยเซียนทั้งหลายที่มารับ ขึ้นเหยียบเมฆลอยไปสู่สำนักลีเล่ากุน ณ เขาเล่งห่วยหวย ลีเล่ากุนขนานชื่อให้เจงหลีกั๊กว่า ฮั้นเจงหลี และแต่งตั้งให้เป็นเซียนในอันดับที่สองในคณะเซียนทั้งแปด และสั่งทิก๋วยลี้ จัดที่อยู่อันสมควรแก่อัตภาพให้ ต่อจากนั้นมาอีกหลายสิบปีฮั้นเจงหลีได้พิจารณาเห็นการบำเพ็ญของเจงหลีกั๊ง เป็นไปโดยบริบูรณ์มีอำนาจตบะเดชครบถ้วน แล้วก็ออกจากสำนักตรงไปหาเจงหลีกั๊ง ซึ่งกำลังเข้าสมาธิเจริญฌานอยู่รู้ว่าน้องชายมา ก็ออกไปต้อนรับต่างมีความยินดีต่อกัน ฮั้นเจงหลีก็แจ้งว่า วันนี้ข้าพเจ้ามารับซือเฮียไปอยู่ด้วยกัน เจงหลีกั๊งได้ฟัง ก็มีความยินดียิ่งนัก ก็ออกมาจากสำนักที่เคยอยู่ ฮั้นเจงหลีก็ใช้ธาตุไฟเผาไหม้เป็นจุลไป แล้วต่างก็พากันไปอยู่ ณ สำนักเขาเฮาะฮงเป็นสุขสืบมา