วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เซียนองค์ที่ 3


เซียนองค์ที่ 3 ลื่อท่งปิน
ลื่อท่งปิน (หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลื่อตงปิง) เป็นบุตรของลื่อหวีเจ้าเมืองไฮจิ๋วครั้งแผ่นดินถัง เป็นหลานของลื่ออ๊ย ปลัดกระทรวงราชประเพณีของพระเจ้าถังเกาจงฮ่องเต้ เมื่อเกิดนั้น คนภายในจวนเจ้าเมืองได้ยินเสียงมโหรีขับกล่อมอยู่ในอากาศ และเห็นนกกะเรียนเผือกบินเข้าไปในห้องของฮูหยินภรรยาเจ้าเมืองแล้วหายไป ลื่อท่งปินคลอดจากครรภ์มารดา ณ วันขึ้นสิบสี่ค่ำเดือนหก อันเป็นศักราชเจงหงวนปีที่แห่งราชวงศ์ถัง ตรงกับ พ.ศ. 1341 ทั้งจวนเจ้าเมืองก็มีกลิ่นหอมตลบ ตามตำนานว่า ตังฮั่วจินหยินผู้เป็นอาจารย์ของเจงหลีกั๊กมาเกิด ตามที่ได้พูดไว้ตั้งแต่ครั้งเจงหลีกั๊ก (หรือฮั้นเจงหลี) แตกทัพหนีข้าศึกไปพำนักเล่าเรียนอยู่ด้วย โดยตังฮั่วจินหยินได้พูดเป็นนัยว่า บางทีเราอาจจะต้องไปเป็นศิษย์ของเจ้าเสียอีก ซึ่งครั้งนั้นเจงหลีกั๊กเองได้ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ เมื่ออายุลื่อท่งปินได้ห้าขวบ เบ๊โจวซือผู้วิเศษได้ทำนายว่า เด็กคนนี้เป็นมนุษย์พิเศษ มิใช่คนธรรมดาสามัญมาเกิด ต่อไปเมื่อไปถึงตำบลหู ได้พบกับพวกแซ่เจงแล้ว ก็จะได้สำเร็จ อันลักษณะรูปร่างสัณฐานของลื่อท่งปินนั้นสูงแปดสิบสองนิ้ว กระหม่อมสูง หูยาว คิ้วยาว ตายาวเหมือนตาหงษ์ มีไฝดำเม็ดเขื่องที่คิ้วซ้าย จมูกใหญ่เป็นเส้นตรงและกลม แก้มเป็นพวง ปากกว้าง คอระหง ประกอบกับสติปัญญาเฉียบแหลม ความจำแม่นยำ ถือตัวว่าเป็นจินตกวี พอใจเสพสุรา ด้วยใคร่จะเอาอย่างลีไท้แปะ จินตกวีเอกครั้งแผ่นดินพระเจ้าเม่งจงฮ่องเต้ ครั้นมาคราวหนึ่ง ลื่อท่งปินได้ท่องเที่ยวหาความเพลิดเพลินไปถึงภูเขาหลูเกียซัว พบกับฮ่วยเล่งจินหยินผู้วิเศษ ได้เจรจากันเป็นที่สบอัธยาศัย ลื่อท่งปิน จึงมอบตัวเป็นศิษย์ ขอเล่าเรียนวิทยาการและเวทย์มนต์คาถาด้วย ฮ่วยเล่งจินหยินก็มีความพอใจ และยินดีสอนให้ลื่อท่งปินปัญญาไว มีความทรงจำแม่นยำไม่หลงลืม อาจารย์แนะบอกให้ครั้งเดียวก็จำได้ จึงเล่าเรียนเวทย์มนต์คาถา ใช้ธาตุในร่างกายให้ออกทำกิจใด ๆ ได้ดังประสงค์ (ทำนองเดียวกับฮั้นเจงหลี) กับคาถาปลุกเสกกั้นหยั่นให้ไปประหารศัตรูแล้วกลับคืนเข้าสู่ฝักตามเดิม อีกทั้งสอนวิธีการปฏิบัติบำเพ็ญเพียรเข้าฌานสมาธิ ลื่อท่งปินได้ตั้งใจอุตสาหะเล่าเรียนกับฮ่วยเล่งจินหยินอยู่เป็นเวลาหลายเดือน จนมีความชำนิชำนาญเก่งกล้าในอิทธิฤทธิ์ มาวันหนึ่ง คิดรำพึงที่จะลาอาจารย์ไปเยี่ยมบ้าน ฮ่วยเล่งจินหยินก็รู้ด้วยกำลังฌาน จึงเรียกศิษย์มาให้โอวาทตักเตือนว่าการที่เจ้าคิดจะกลับไปบ้านนั้นก็เป็นการสมควร เพราะเจ้าได้มาอยู่เล่าเรียนกับเราก็นานแล้ว แต่ว่าวิชาเวทย์มนต์คาถาต่าง ๆ ที่สอนให้เจ้านั้น ก็เพื่อให้เจ้าเอาไว้ป้องกันตัวเมื่อเวลามีภัยเข้าที่คับขัน อย่าเอาไปใช้ทดลองเล่นด้วยใจเบา หรือใช้ในทางทุจริตอันเป็นบาป แม้เห็นผู้ใดมีความทุกข์เดือดร้อน เมื่อพิจารณาเห็นสมควรจะช่วย จึงค่อยช่วยเอาบุญ ถ้าเห็นไม่เป็นการสมควรช่วยไปก็เปล่าประโยชน์ ก็ควรเฉยเสียอย่าเอาเป็นธุระเลย ลื่อท่งปินรับโอวาทของอาจารย์แล้ว ก็คุกเข่าลงกราบสามครั้งด้วยความเคารพ แล้วออกเดินทางกลับบ้านยังเมืองไฮจิ๋ว ขณะที่เดินทางรอนแรมไปตามสบายพบโรงเตี๊ยมที่ไหน ก็แวะเข้าพักเสพสุราอาหารที่นั่นเรื่อยไป จนกระทั่งมาถึงอำเภอหวยเชียง ทางฝั่งแม่น้ำหวยโห แลเห็นคนเป็นอันมากยืนมุงอยู่หน้าบ้านพักของนายอำเภอ เหตุด้วยในแม่น้ำนั้นมีมังกรร้ายตัวหนึ่ง ขึ้นมาแผลงฤทธิ์ทำให้เกิดพายุและฝนแม่น้ำมีคลื่นปั่นป่วน ทำให้เรือแพของพวกพ่อค้าวาณิชแตกล่มเป็นอันมาก แล้วจับเอาคนไปกินเป็นอาหาร นอกจากนั้นแล้วยังแปลงเป็นชายหนุ่มเที่ยวล่อลวงเอาลูกสาวชาวบ้านไปเป็นเมีย เสร็จแล้วก็ฆ่ากินเสียมากต่อมาก เป็นที่เดือดร้อนแก่ผู้คนพลเมืองในอำเภอนี้เป็นอย่างยิ่ง นายอำเภอมิรู้ที่จะหาทางปราบปรามกำจัดอย่างใดจึงได้ทำหมายออกประกาศ เรียกผู้จะอาสาปราบปรามมังกรร้ายไว้ในที่ต่าง ๆ ลื่อท่งปินจึงแวะเข้าไปดูเห็นประกาศนั้นมีความว่า ผู้ใดมีกำลังฝีมือสามารถฆ่ามังกรร้ายในแม่น้ำนี้ได้ จะให้บำเหน็จรางวัลถึงขนาด ลื่อท่งปินจึงคิดว่า ตั้งแต่เราได้ฝึกฝนเล่าเรียนวิชามาจากสำนักอาจาราย์จนบัดนี้ ก็ยังมิได้ทดลองให้เห็นประจักษ์แจ้งเลย บัดนี้พวกราษฏรในอำเภอนี้กำลังได้รับความเดือดร้อนจากสัตว์ร้าย ก็เป็นโอกาสที่เราจะได้ช่วยบำบัดทุกข์ อีกทั้งจักได้ทดลองวิชาที่ได้เรียนมานั้นด้วย คิดดังนั้นแล้ว จึงฉีกประกาศเข้าไปแจ้งแก่นายอำเภอว่า ข้าพเจ้าชื่อลื่อท่งปินขอรับอาสาเป็นผู้กำจัดมังกรร้ายนี้ให้ นายอำเภอมีความดีใจเป็นอันมาก จึงพร้อมด้วยเสมียนพนักงานและราษฏรทั้งปวง นำลื่อท่งปินไปยังฝั่งแม่น้ำ ชี้แหล่งที่มังกรอาศัยอยู่ ลื่อท่งปินเพ่งมองพิจารณาวังน้ำนั้น เห็นใสแจ๋วปราศจากปลาใหญ่น้อยเป็นที่ผิดปกติธรรมดากว่าแม่น้ำแห่งอื่น ก็แน่ใจว่าต้องเป็นที่อาศัยของสัตว์ปีศาจร้ายนั้น จึงอ่านมนต์ถอดกั้นหยั่นออกจากฝักขว้างไปกลางน้ำ ในไม่ช้าพื้นน้ำก็เกิดเป็นละลอกคลื่นขนาดใหญ่ปั่นป่วนไปทั่วแล้วปรากฏเป็นสีแดงฉานปนขึ้นมากับน้ำนั้นด้วย ทันใดปีศาจมังกรก็ทลึ่งโผล่ขึ้นมา ส่งเสียงร้องสนั่นดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดสาหัส เพราะถูกกั้นหยั่นวิเศษแทงเข้ากลางทรวงอก แล้วพุ่งเสือกตัวขึ้นมาตายบนฝั่ง ส่วนกั้นหยั่นก็หลุดออกจากอกมังกร ลอยเข้าสู่ฝักตามเดิม ฝูงคนพลเมืองที่มามุงดูเต็มฝั่งแม่น้ำ ต่างก็ได้เห็นเป็นอัศจรรย์ก็มีความชื่นชมยินดีเลื่อมใสเป็นอันมาก พากันคุกเข่าลงคำนับกราบไหว้ นายอำเภอก็เชิญลื่อท่งปินขึ้นไปบนที่ว่าการ กระทำคำนับแล้วจัดสุราอาหารมาเลี้ยง เสร็จแล้วก็จัดเงินทองเสื้อผ้าแพรพรรณมามอบให้เป็นรางวัล ลื่อท่งปินไม่รับ มอบกลับคืนให้นายอำเภอ เอาไว้แจกจ่ายแก่ผู้ที่ยากจน แล้วก็คำนับลาเดินทางต่อไป นับแต่บัดนั้นมาบรรดาเหล่าราษฏรชาวบ้านและพวกพ่อค้าวาณิชที่ถูกมังกรทำร้าย คิดถึงคุณของลื่อท่งปิน ต่างก็ได้วาดรูปลื่อท่งปินไว้สำหรับเป็นที่เคารพบูชา ฝ่ายลื่อท่งปินได้ท่องเที่ยวเดินทางจนลุถึงเมืองงักเอี๋ยง ใคร่จะช่วยเหลือคนยากจนที่มีคุณธรรม จึงได้ปลอมตัวเป็นคนขายน้ำมันหาบเร่ขายไปตามที่ต่าง ๆ ด้วยตั้งใจว่าถ้าคนใดซื้อน้ำมันโดยไม่ขอแถมก็จะช่วยเหลือ และตั้งแต่เที่ยวเร่ขายอยู่ในเมืองนั้นเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี ก็ยังไม่พบผู้ที่ซื้อน้ำมันแล้วไม่ขอแถมเลย ล้วนแต่ขอแถมหน่อยทุกคนไป วันหนึ่งลื่อท่งปินหาบน้ำมันเร่ร้องขายไปตามถนน มีหญิงชราคนหนึ่งถือเปลือกไข่เป็ด มาขอซื้อน้ำมันหนึ่งอีแปะ ลื่อท่งปินก็ตักน้ำมันให้เต็มเปลือกไข่ หญิงชราคนนั้นก็รับน้ำมันไป โดยไม่เอ่ยปากขอแถมแต่ประการใด ลื่อท่งปินคิดสงสัย แต่ก็มีความพอใจเป็นอันมาก ที่ว่าในเมืองนี้ทั้งเมืองยังพอมีคนดีมีคุณธรรมอยู่ จึงยกหาบขึ้นใส่บ่าเดินตามมาแล้วถามว่า น้ำมันที่ยายซื้อไปนั้นพอใช้หรือ ไม่เห็นขอแถมอย่างคนอื่นเขาเลย หญิงชราจึงว่าเราต้องการเท่านี้ ถึงหากแกจะแถมให้อีกข้าก็ไม่ต้องการ ลื่อท่งปินก็รู้ชัดว่าหญิงชราผู้นี้ มีคุณธรรมปราศจากความโลภ แล้วก็เดินตามไป หญิงชรามาถึงบ้าน เหลียวมองมาเห็นคนขายน้ำมันเดินตามมาเช่นนั้นก็พูดว่า จงหยุดพักที่บ้านเราก่อนเถิด พอหายเหนื่อยแล้วจึงค่อยไป เราจะจัดอาหารให้กิน ว่าแล้วหญิงชราก็จัดอาหารมาให้ลื่อท่งปินกินพลาง ก็พิจารณาไปทั่วบ้าน เห็นบ่อน้ำบ่อหนึ่งจึงถามว่า บ่อน้ำนั้นยายขุดเองหรือ ๆ ว่ามีมาแต่เดิม หญิงชราก็ตอบว่า เราขุดไว้สำหรับใช้อาบกิน และเล่าต่อไปว่ามีบุตรชายคนหนึ่ง ขณะนี้ออกไปทำงานยังไม่กลับมา ถ้ากลับมาทันก็ได้ให้รู้จักกันไว้ ลื่อท่งปินได้ฟังก็นิ่งอยู่ ครั้นกินข้าวอิ่มแล้ว ก็หยิบเอาข้าวสารสองสามเม็ดโปรยลงไปในบ่อแล้วบอกกับหญิงชราว่า น้ำในบ่อนี้เป็นสุราสีเข้มรสดี เล่าม้าจงตักออกขายเถิดจะได้ร่ำรวย ว่าแล้วก็ยกหาบน้ำมันใส่บ่า ลากลับไป ฝ่ายหญิงชรานั้น ครั้นเวลาเย็น บุตรชายกลับบ้านก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง บุตรชายไม่เชื่อคิดว่ามีคนมาหลอกลวงแม่ จึงตักน้ำในบ่อขึ้นมาชิมดู ก็รู้ว่าเป็นสารรสวิเศษสมจริง ก็ดีใจเป็นอันมากสองคนแม่ลูกจึงได้เปิดร้านขายสุราขึ้น คนทั้งหลายได้มาซื้อกินก็ติดใจ ต่างก็ชักชวนกันมากินสุราในร้านของสองแม่ลูก จนมีทรัพย์สินเงินทองร่ำรวยขึ้น ฝ่ายลื่อท่งปิน เมื่อได้ช่วยหญิงชราแล้ว ก็เลิกขายน้ำมัน ได้เดินทางไปถึงร้านขายสุราอีกแห่งหนึ่ง เห็นหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ในร้าน คะเนอายุไม่เกินสามสิบปี ท่วงทีกิริยาเรียบร้อย จึงแวะเข้าไปซื้อสุราดื่ม แล้วถามคนขายว่าร้านนี้เป็นของผู้ใด คนขายก็บอกว่าเป็นของนางซินสีที่ท่านเห็นนั่งอยู่เมื่อตะกี้นี้ ลื่อท่งปินได้ฟังแล้ว ก็คงนั่งดื่มสุรากินอาหารกับแกล้มจนเมา แล้วก็ลุกเดินออกจากร้านไปเฉย ๆ มิได้ชำระราคาค่ากินแต่อย่างใด คนขายเห็นดังนั้นก็เอะใจ จึงเข้าไปบอกแก่นางซินสี นางจึงว่าเราได้พิเคราะห์ดูชายคนนั้นแล้ว เวลากินเหล้า เราก็ได้แอบดูอยู่ในนี้ เห็นท่าทางเป็นคนต่างถิ่น รูปร่างลักษณะมิใช่คนสามัญ ค่าของกินเล็กน้อยเท่านั้นอย่าไปทวงเลย ถ้าหากเขามาอีก เจ้าก็จงหาให้เขากินตามสบายเถิด คนใช้ได้ฟังก็รับคำ ให้นึกประหลาดใจคิดว่าเห็นทีนายผู้หญิงของเราจะพึงใจคนผู้นี้กระมัง ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ลื่อท่งปินก็ไปเสพสุราอาหารที่ร้านนางซินสีเสมอมา จนเป็นหนี้ค่าเหล้าค่าอาหารมากมาย มาวันหนึ่งขณะที่นั่งเสพสุราอยู่ ลื่อท่งปินจึงว่าแก่นางซินสีว่า เงินค่าสุราอาหารของท่านนั้นเรายังไม่มีจะให้ แต่เวลานี้ขอให้ท่านหาเปลือกส้มมาให้สักชิ้นหนึ่ง นางซินสีก็ไปหาเปลือกส้มมาให้ ลื่อท่งปินรับเอาเปลือกส้มมาเสก แล้ววาดภาพนกกะเรียนลงในเปลือกส้มนั้น แล้วเอาติดไว้ที่ฝาผนัง แล้วสั่งว่า ถ้ามีคนมากินสุราอาหาร ก็ให้นางเรียนกนกกะเรียนให้ออกมาร้องรำบำเรอเถิดก็จะร่ำรวย ว่าแล้วก็คำนับลาไป นางซินสีได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ ครั้นต่อมามีคนหลายคน เข้ามาซื้อสุรากิน นางนึกขึ้นได้ จึงลองเรียนนกกะเรียนตามที่ลื่อท่งปินสั่งไว้ นกกะเรียนก็ออกมาจากผนัง บินมายืนบนโต๊ะกลางร้าน แล้วก็ร้องรำแพนหาง ย่างเท้าเข้าจังหวะอยู่ไปมาหลายท่าหลายทาง จบแล้วก็บินกลับเข้าผนังเป็นภาพวาดไปตามเดิม นางซินสีและคนทั้งหลายได้เห็นเป็นอัศจรรญ์ จึงเลื่องลือกันต่อไป ตั้งแต่นั้นผู้คนเป็นอันมากก็พากันมากินสุราที่ร้านนางซินสีอย่างคับคั่ง เพื่อได้ชมนกกะเรียนวิเศษนั้น ฝ่ายลื่อท่งปิน ให้หวนคิดถึงบ้าน เพราะได้จากมาช้านานมิรู้ว่าสุขทุกข์ประการใด ทั้งได้ทราบข่าวมาว่าบรรดาญาติพี่น้องมิตรสหายได้เข้ารับราชการมียศตำแหน่งไปหลายคน จึงคิดว่าตนเองก็มีความรู้อยู่เป็นอันมาก ควรที่จะเข้ารับราชการในเมืองหลวงบ้าง ทั้งขณะนี้ในเมืองงักเอี๋ยงก็กำลังเปิดรับผู้เข้าสอบแข่งขันเบื้องต้น คิดดังนั้นแล้ว ก็จัดหาเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวสำหรับเขาสอบไล่ ลื่อท่งปินเป็นผู้ชำนาญทางหนังสือและจินตกวี ฉะนั้นการสอบไล่ที่เมืองงักเอี๋ยงจึงมิมีการขัดข้องประการใด ได้สอบไล่เลื่อนขึ้นไปเป็นลำดับ จนได้เข้าไปสอบในเมืองเชียงอานนครหลวง ก็สอบไล่ได้ชั้นจินสือ ขณะนี้ลื่อท่งปินอายุได้ห้าสิบปีแล้ว วันหนึ่งไปที่ร้านสุราในเมืองเชียงอาน เพื่อหาซื้อสุราดีดีกินตามนิสัยชอบ ได้พบเต้าสือผู้หนึ่งรูปร่างสะอาดหน้าตาสดใส ศีรษะโพกสีเขียวนั่งเสพสุราพลาง เขียนโศลกคำฉันท์ ที่เรียกว่าซีที่ฝาผนังสามบท ลื่อท่งปินจึงเข้าไปขออ่าน และพิจารณาดูเต้าสือผู้นั้น เห็นผิวพรรณแปลกกว่าคนสามัญ ก็กระทำคำนับถามชื่อเสียง และว่าซีที่ท่านแต่งนี้ มีถ้อยคำและความหมายไพเราะหนักหนา เต้าสือผู้นั้นจึงตอบว่า ข้าพเจ้ามีชื่อว่า ฮั้นเจงหลี ขอท่านจินสือจงลองแต่งซีดูบ้างเป็นไรเพื่อจะได้แลกเปลี่ยนความคิดกันและกัน ลื่อท่งปินก็รับภู่กันมา เขียนซีชื่อชิดเจ่อะที่ฝาผนังอีกบทหนึ่ง ฮั้นเจงหลีดูฉันท์ที่ลื่อท่งปินเขียนแล้วจึงว่า ข้าพเจ้าอยู่ที่สำนักเฮาะฮง เอานกและป่าเขาลำเนาไพรเป็นเพื่อนสนทนาเจริญภาวนาสงบวิเวกแต่ผู้เดียว ไม่ปรารถนาที่จะพัวพันอยู่กับโลก ลื่อท่งปินได้ฟังก็มิตอบว่าประการใด ฮั้นเจงหลีก็รู้ในน้ำใจลื่อท่งปินว่า ยังมีความเยื่อใยอาลัยทางโลกอยู่จึงพาเข้าไปทางหลังร้าน หาฟืนและข้าวสารมาหุงเลี้ยงกัน ขณะที่กำลังหุงข้าวอยู่นั้น ลื่อท่งปินได้นั่งง่วงและหลับฝันไป ในความฝันนั้นมีว่า ตนเองได้สมัครเข้าสอบชิงตำแหน่งจอหงวนหน้าพระที่นั่ง และก็สอบชิงได้สมปรารถนา ได้รับการแห่แหนอย่างเอิกเกริกไปทั่วนครหลวง ต่อมาได้ภรรยาที่มีฐานะมั่งมีถึงสองคน ฮ่องเต้ได้ทรงโปรดให้เข้ารับราชการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นลำดับจนกระทั่งได้เป็นผู้ช่วยบุ๋นใจเสี่ยง ต่อมาได้มีลูกชายหญิงหลายคนและหลานปู่หลานตา ล้วนได้เข้ารับราชการมียศศักดิ์มั่งคั่งด้วยกันทุกคน แม้ตนเองก็ได้รับตำแหน่งถึงอัครมหาเสนาบดีที่บุ๋นใจเสี่ยง มีอำนาจอยู่ถึงสิบปี ครั้นวันหนึ่งบังเอิญมีเหตุการณ์อันเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงเกิดขึ้น จนถึงกับถูกริบทรัพย์สมบัติบ้านช่องทั้งตนเองก็ถูกถอดยศศักดิ์ ได้รับความอัปยศ ส่วนบุตรภรรยาข้าทาสชายหญิงต่างอพยพหลบหนีไปสิ้น เหลือตัวคนเดียวก็ต้องถูกเนรเทศให้ไปอยู่ในที่กันดาลชายเขตแดน ได้รับความยากแค้นแสนลำเค็ญแทบจะไม่มีที่ซุกหัวนอน กำลังยืนหมดอาลัยตายอยากในชีวิตทอดถอนใจใหญ่อยู่ไปมา ก็พอดีรู้สึกตัวตกใจตื่นขึ้น ก็รู้ตัวว่าเอ๊ะนี่เราฝันไปอย่างเป็นจริงเป็นจังเทียวหรือ ฝ่ายฮั้นเจงหลีกำลังยกหม้อข้าว ก็หันมาหัวเราะพลางว่า เราหุงข้าวยังไม่ทันจะยกออกจากเตา ตัวท่านได้ฝันทั้งเรื่องสุขเรื่องทุกข์อย่างโลดโผนเป็นจริงเป็นจังเสียตื่นหนึ่งอย่างนี้ดก็ดีเหมือนกัน ลื่อท่งปินได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ถามว่าก็ท่านทราบหรือไม่ว่า ข้าพเจ้าฝันสุขทุกข์โลดโผนเป็นประการใด ฮั้นเจงหลีจึงว่า ก็ท่านฝันเสียอย่างยืดยาว ได้มียศถาบรรดาศักดิ์เป็นใหญ่เป็นโตมีอำนาจ มีเหย้ามีเรือนลูกหลานหว่านเครือมากมาย จนในที่สุดตนเองถึงความเสื่อมเสียพินาศ ต้องตกยากเหลือแต่ตัวคนเดียว เที่ยวนอนตามถนน ดู ๆ ก็ประหลาด เดี๋ยวหน้าบานเดี๋ยวหน้าแห้ง ความเป็นไปในชีวิตชั่วเวลาห้าสิบปีนี่เป็นความฝัน ดูมันประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นก็จบเรื่อง เราจึงเห็นว่า ชีวิตความเป็นไปของมนุษย์ในโลกนั้น ผู้รู้ทั้งหลายท่านเปรียบเสมือนความฝัน ถึงคราวได้สุขก็ไม่หลงระเริง ถึงคราวได้ทุกข์ก็ไม่ระทมใจ จึงจะอยู่ในโลกได้ด้วยความร่มเย็น ไม่ต้องถูกโลกบีบคั้น ลื่อท่งปินเห็นฮั้นเจงหลีรู้การณ์ในความฝันและแจ้งโลกเช่นนั้น จึงคิดว่าเต้าหยินผู้นี้เป็นผู้สำเร็จแน่แล้ว ก็ทรุดตัวลงคุกเข่ากราบลงสามครั้งด้วยความเคารพ ขอมอบตัวเป็นศิษย์ให้ฝึกสอนอบรม ฮั้นเจงหลียังมิทันจะพูดอะไร คนขายก็จัดสุราอาหารเข้ามาให้ จึงได้เข้านั่งโต๊ะกินพร้อมกัน ฮั้นเจงหลีจึงว่า การที่เจ้ายอมตนเป็นศิษย์ ขอให้เราอบรมฝึกสอนวิชาบำเพ็ญภาวนาให้นั้น เราไม่ขัดข้อง แต่ขณะนี้ยังมิใช่เวลา จงปฏิบัติกิจทางโลกไปก่อน ต่อเมื่อถึงเวลาอันสมควรแล้ว เราจึงจะมารับ ครั้นบริโภคสุราอาหารอิ่มหนำสำราญแล้ว ต่างก็ลาจากกันไป ลื่อท่งปินครั้นกลับมาถึงที่พัก ก็ครุ่นคิดคำนึงถึงความฝัน ตลอดจนถ้อยคำของอาจารย์ ก็มองเห็นความจริงแจ่มแจ้งขึ้น จึงคิดที่จะลาราชการ กลับไปเยี่ยมบ้าน เพราะได้จากมาช้านานหลายปี มิรู้ว่ายังมีความสุขกันดีอยู่หรืออย่างไร จึงได้เข้าไปหาขุนนางผู้ใหญ่ที่ชอบพอ แจ้งเรื่องให้ทราบโดยตลอด ขุนนางผู้นั้นมีความชอบพอสนิทสนมกับลื่อท่งปิน เพราะเป็นนักเลงแต่งกาพย์ฉันท์ด้วยกัน จึงนำลื่อท่งปินเข้าเฝ้า กราบถวายบังคมลา ก็ได้ทรงอนุญาตลื่อท่งปินมีความยินดี จึงอำลามิตรสหายกลับไปเมืองไซอิ๋ว บรรดาญาติพี่น้องเพื่อนฝูงต่างก็พากันเข้ามาแสดงความยินดีที่สอบชิงตำแหน่งจินสือได้ และได้ทำการเซ่นไหว้บรรพบุรุษปู่ย่าตายายตามประเพณีอยู่สองสามวัน ลื่อท่งปินไม่คิดที่จะเป็นขุนนางอีกต่อไป จึงอยู่บ้านช่วยญาติพี่น้องทำเรือกสวนไร่นา ครั้นมีเวลาว่างก็ออกท่องเที่ยวไปตามที่สงัดโดยลำพัง ฝ่ายฮั้นเจงหลีอยู่ ณ สำนักเฮาะฮง เพ่งฌานเห็นถึงความเป็นไปของลื่อท่งปินผู้ศิษย์ ก็มีความพอใจ และหวังที่จะทดลองดูน้ำใจของศิษย์บางประการ จึงออกจากสำนักเหยียบเมฆลอยมายังเมืองไฮจิ๋ง เพื่อจะทรมานทดลองด้วยเหตุสิบประการ คือ ประการที่หนึ่ง ได้บันดาลให้ผู้คนบ่าวไพร่ในบ้านลื่อท่งปิน เป็นไข้พิษตายลงหลายคน แต่ลื่อท่งปินแทนที่จะตกใจหรือเสียใจ กลับพิจารณาเห็นว่าอายุของคนเหล่านั้นได้ทำมาเพียงเท่านั้นเป็นสิ่งธรรมดา จึงจัดแจงที่จะเก็บศพคนเหล่านั้นไปฝังแต่ยังมิทันที่จะจัดการอย่างใด คนเหล่านั้นก็ฟื้นคืนมามิได้มีโอกาสเจ็บไข้อย่างใด ลื่อท่งปินก็ไม่เป็นอัศจรรย์คิดไปว่านั่นเป็นบุญของเขาที่ยังไม่ถึงคราวจะตาย เขาคงจะเป็นแต่เพียงสลบไปเท่านั้น ประการที่สอง ลื่อท่งปินได้คุมลูกจ้างหาบถั่วงาเผือกมันไปขายที่ตลาด ได้ทำการตกลงราคาซื้อขายกันแล้ว แต่พอมองสิ่งของ ผู้ซื้อกลับจ่ายเงินให้เพียงครึ่งเดียว บอกว่าอีกครึ่งหนึ่งยังไม่มี ลื่อท่งปินก็ไม่ว่าอะไร รับเอาเงินกลับบ้าน ประการที่สาม ในวันขึ้นปีใหม่ คือวันที่ ๑ ของเดือน ที่ ๑ ลื่อท่งปินไปอวยพรให้แก่ญาติมิตรกลับมา เห็นขอทานคนหนึ่งยืนยื่นกระป๋องขอทานอยู่หน้าประตูใหญ่ จึงเข้าไปในบ้านจัดหาอาหารให้กิน กินเสร็จแล้ว คนขอทานนั้นก็ขอเสื้อผ้าอีก ลื่อท่งปินก็ให้ ขอเงินขอทองก็ให้ พอคนขอทานขอมากไปกว่านั้น ลื่อท่งปินไม่มีจะให้ คนขอท่านก็ด่าว่าเอาเสีย ๆ หาย ๆ แทนที่ลื่อท่งปินจะโกรธ กลับหัวเราะงอไปงอมา คนขอทานขัดใจ เอาไม้เท้าเคาะหัวทีหนึ่งแล้วเดินออกไป ประการที่สี่ ลื่อท่งปินไปป่ากับเด็กเลี้ยงแพะ เสือโคร่งตัวหนึ่งวิ่งออกจากเชิงเขาตรงมาจะกินแพะ ลื่อท่งปินเห็นดังนั้น ก็กระโดดเข้าขวางหน้าไว้ ตั้งใจจะให้เสือกัดกินตนแทนแพะ เสือกลับหยุดชะงักไม่กิน ได้แต่มองหน้าคำราม แล้วโดดกลับเข้าป่าหายไป ประการที่ห้า เย็นวันหนึ่งลื่อท่งปินกำลังนั่งดูคัมภีร์บำเพ็ญภาวนาอยู่ในกระท่อมวิเวกส่วนตัวแต่ผู้เดียว มีหญิงสาวรูปงามคนหนึ่งเข้ามาหาขอร้องว่า ได้ไปเยี่ยมบิดามารดาแล้วจะกลับบ้านสามี ทางที่จะไปก็ไกล ทั้งเวลาก็ใกล้ค่ำแล้ว เกรงจะมีอันตราย จึงแวะเข้ามาขออาศัยกระท่อมท่านผู้เมตตาพักนอนสักคืนหนึ่ง ต่อรุ่งขึ้นจึงจะลาเดินทางต่อไป ลื่อท่งปินก็ให้อาศัย ตกตอนค่ำนางได้แสดงจริตกิริยายั่วยวนต่าง ๆ ในทางกาม เป็นเชิงชักชวนให้ร่วมประเวณี ลื่อท่งปินก็ทำเฉยเสีย ไม่เหลียวแลเข้าใกล้ เป็นอยู่เช่นนี้ถึงสมวันสามคืน เห็นไม่สมประสงค์ก็ลาไป ประการที่หก วันหนึ่งลื่อท่งปินออกไปเที่ยวครั้นกลับมาบ้าน เห็นข้าวของเงินทองถูกขโมยลักเอาไปเกือบหมด ก็มิได้เสียใจเอะอะโวยวายแต่ประการใด หายได้หายไป เมื่อยังมีแรงกำลังปัญญาอยู่ก็หาเอาใหม่ได้ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินต่อไป วันหนึ่งกำลังพรวนดินจะปลูกผักขุดลงไป เห็นทองคำแท่งหลายสิบลิ่ม ก็กลบเสียไม่แตะต้องประการที่เจ็ด ลื่อท่งปินได้ซื้อเครื่องทองเหลืองอย่างหนึ่งจากคนขายหาบเร่ แต่ครั้นมาถึงบ้านแก้ห่อออกดู เห็นเครื่องมือทองเหลืองนั้นกลายเป็นทองคำ จึงรีบออกเที่ยวตามหาคนขายจนพบ แล้วคืนให้คนขายก็มองดูหน้าด้วยความชอบใจ ประการที่แปด ลื่อท่งปินออกไปจ่ายกับข้าวในตลาด พบเต้าหยินสติไม่เต็มเต็งผู้หนึ่ง เที่ยวร้องขายยาประหลาดว่า ยานี้ใครซื้อไปกินอึดใจเดียวตาย ตายแล้วเกิดไปชาติหน้า จะได้สำเร็จเป็นเซียนแน่ ๆ ตั้งแต่เขาร้องขายมา ยังไม่เห็นมีใครกล้าซื้อไปกินเลย ลื่อท่งปินได้ยินดังนั้น ก็เข้าไปขอซื้อมาทั้งห่อ เต้าหยินบ้าบอผู้นั้นก็พูดย้ำอีกว่า จงเตรียมซื้อโลงไว้เถิด ตายแล้วจะได้มีที่ใส่ ลื่อท่งปินไม่ตอบ ถือยากลับบ้าน แก้ห่อยาออกกินเข้าไปจนหมด แต่ไม่ตาย กลับมีกำลังวังชาแข็งแรงกว่าเก่าหลายเท่า ประการที่เก้า ได้เกิดพายุร้ายแรง ทำให้น้ำท่วมบ้านเรือนหมดทั้งตำบล ผู้คนพลเมืองลูกเล็กเด็กแดงร้องไห้ กลัวภัยกันระเบ็งเซงแซ่ แต่ลื่อท่งปินก็อยู่เป็นปกติ คิดว่าสุดแต่ฟัาดินจะบันดาลให้เป็นไป ไม่มีความเดือดร้อนอะไร ประการที่สิบ มีปีศาจยักษ์หลายคน คุมนักโทษคนหนึ่งเนื้อตัวโชกไปด้วยเลือด มายืนร้องไห้ที่หน้าบ้าน ร้องทวงว่าเจ้าฆ่าเรามาหลายชาติแล้ว บัดนี้เราติดตามมา เจ้าจงรีบฆ่าตัวเองใช้หนี้ชีวิตเรา ลื่อท่งปินจึงว่า เมื่อข้าพเจ้าได้ทำแก่ท่านมาแล้วแต่ชาติก่อนเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็จะใช้หนี้ให้แก่ท่านเพื่อให้หมดเวรกันไป ท่านอย่าร้องไห้เจ็บแค้นวิตกไปเลย ว่าดังนั้นแล้วก็ลุกขึ้น ดึงมีดจากข้างฝาจะเชือดคอตาย ก็พอมีเสียงตวาดมาจากอากาศ ปีศาจยักษ์และนักโทษนั้นก็หายวับไป แลเห็นคน ๆ หนึ่ง แต่งตัวดุจเซียนผู้สำเร็จ ตบมือหัวเราะเดินตรงมา ก็จำได้ว่าเป็นอาจารย์ของตน ก็คุกเข่าลงกราบสามครั้งด้วยความเคารพและยินดี ฮั้นเจงหลีจึงว่าน้ำใจของเจ้าประเสริฐนัก ไม่มีความหวั่นไหวในเหตุการณ์ทั้งปวง บัดนี้ถึงเวลาแล้วจงไปกับเรา ว่าแล้วก็จูงมือลื่อท่งปินเหาะกลับไป เมื่อมาถึงสำนัก ณ เขาเฮาะฮงแล้ว ฮั้นเจงหลีก็ลงมืออบรมฝึก และสอนวิธีการบำเพ็ญฌานสมาธิให้ทุกอย่างทุกประการ ลื่อท่งปินได้มีความตั้งใจอุตสาหะศึกษาบำเพ็ญเพียรอยู่กับอาจารย์เป็นเวลาหลายวัน มาวันหนึ่งถามอาจารย์ว่า (วันหนึ่งของภูมิแห่งเซียนเท่ากับ ๑ ปีของโลกมนุษย์) ข้าพเจ้าใคร่จะทราบว่าการสำเร็จเป็นเซียนนั้น สำเร็จเหมือนกันอย่างเดียวกัน หรือว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ฮั้นเจงหลีตอบว่า นั่นต้องแล้วแต่การปฏิบัติบำเพ็ญเพียรของแต่ละบุคคล ว่าจะกล้าแข็งเพียงไรแม้ได้สำเร็จขั้นสูง ก็เข้าสู่ชั้นของเซียนชั้นสูง ถ้าแม้การบำเพ็ญปฏิบัติยังไม่กล้าแข็งพอได้บรรลุแค่ขั้นต่ำ ลื่อท่งปินก็ถามอีกว่า เซียนที่สำเร็จมรรคผลปฏิบัตินั้นมีกี่ชั้น ฮั้นเจงหลีตอบว่า ถ้าจัดลำดับแล้วก็มีทั้งหมดด้วยกันหกชั้น คือ ชั้นต่ำสุดคือเซียนปีศาจ ถัดขึ้นไปชั้นที่สี่ก็คือเซียนปฐพี ถัดขึ้นไปอีกชั้นที่ห้าคือเซียนเทพารักษ์ ชั้นสูงสุดชั้นที่หกคือเซียนสวรรค์ ลื่อท่งปินจึงถามอีกว่า ก็เซียนทั้งหกชั้นนั้นมีผลปฏิบัติต่างกันอย่างไร ฮั้นเจงหลีจึงอธิบายว่า พวกที่หนึ่ง คือเซียนปีศาจนั้น คือบรรดาปีศาจที่มีอายุยืนนาน มุ่งประพฤติคุณความดี ไม่เที่ยวเกะกะดุร้ายดังเช่นปีศาจอื่น ๆ ได้จำศีลภาวนาบำเพ็ญฌานจนได้บรรลุสำเร็จฌานเบื้องต้น มีความเป็นอยู่และมีเดชอำนาจสูงขึ้น นี้เรียกว่าเซียนปีศาจพวกที่สอง เซียนสัตว์เดรัจฉานนั้น คือสัตว์เดรัจฉานบางพวกบางเหล่ามี เสือ ชะมด เต่า และพังพอน เป็นต้น ที่มีอายุยืนนานมัธยัสถ์เก็บตัวสงบอยู่ในที่ลับแต่ผู้เดียว ไม่ออกเที่ยวเกะกะเช่นเดียวกับเซียนปีศาจ จนกระทั่งได้สำเร็จฌานเบื้องต้นมีฤทธิ์อำนาจเกิดขึ้น นี้เรียกว่าเซียนสัตว์เดรัจฉาน พวกที่สาม เซียนมนุษย์นั้น คือบุคคลสามัญทั่ว ๆ ไป ได้ประพฤติมั่นคงในศีล และปฏิบัติบำเพ็ญเจริญภาวนาจนได้ฌานตบะขั้นโลกีย์ มีอำนาจฤทธิ์ตามกำลังที่ปฏิบัติ ก็เป็นเซียนมนุษย์พวกที่สี่ เซียนปฐพีนั้นก็คือเซียนมนุษย์นี่เอง แต่ได้ปฏิบัติบำเพ็ญเพียรจนได้บรรลุฌานชั้นเยี่ยมมีอายุยืนนานนับด้วยหมื่นด้วยแสนปี ไม่เจ็บไม่แก่ มีกำลังฤทธิ์อำนาจปานเทพยดา หรือยิ่งกว่าที่เรียกว่าเซียนปฐพี พวกที่ห้า เซียนเทพารักษ์ คือเซียนปฐพีนั้นเอง แต่ได้ปฏิบัติบำเพ็ญเพียร จนบรรลุฌานอันแก่กล้าจนปราศจากรูปมีแต่วิญญาณ จึงเป็นเซียนเทพารักษ์ส่วนพวกที่หก คือเซียนสวรรค์นั้น คือเซียนทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วทั้งห้าจำพวก แม้ได้ประพฤติอยู่ในศีลอย่างมั่นคงไม่ด่างพร้อย และปฏิบัติบำเพ็ญเพียร จนได้สำเร็จตบะฌานชั้นเลิศอุกฤษฏ์โดยบริบูรณ์แล้ว ก็ได้เป็นเซียนสวรรค์ทั้งสิ้น ลื่อท่งปินได้ฟังคำอธิบายของอาจารย์จบลงแล้วจึงว่าอันเซียนปีศาจและเซียนเดรัจฉานนั้นต่ำไป ส่วนเซียนสวรรค์เล่าก็แลดูไกลสุดเอื้อม แต่ส่วนอีกสามจำพวกนั้นยังพอที่จะประพฤติปฏิบัติกระทำความเพียรได้ ฮั้นเจงหลีจึงว่า เจ้าจงอุตสาหะบำเพ็ญไปโดยมั่นคงเถิด ไม่ช้าก็คงสำเร็จผลสมความปรารถนา พออาจารย์กับศิษย์พูดจากันจบลง ตังฮั่วจินหยินก็มาถึง ต่างคำนับกันและกันแล้ว นั่ง ณ ที่อันควร ซีจินหยินมองพิเคราะห์ดูลื่อท่งปิน แล้วถามฮั้นเจงหลีว่า ผู้ที่ยืนอยู่นี้มาจากแห่งใด ฮั้นเจงหลีจึงว่า ผู้นี้คือลื่อท่งปินศิษย์ของข้าพเจ้ามาแต่เมืองไฮจิ๋ว ที่ข้าพเจ้าได้เคยเล่าให้ท่านฟังแต่ก่อน แล้วบอกให้ลื่อท่งปินทำความเคารพเซียนทั้งสอง ลื่อท่งปินก็คุกเข่าลงกราบด้วยความนอบน้อม ตังฮั่วจินหยินจึงทักว่า รูปร่างศิษย์ของท่านทะมัดทะแมงมั่นคงดี สายตาก็มีประกายแสดงถึงความมีใจคอหนักแน่น ทั้งผิวพรรณก็ผ่องใส คงจะสำเร็จผลในไม่ช้า เมื่อสนทนากันพอสมควรแล้ว เซียนทั้งสองก็ลากลับไป อยู่มาวันหนึ่งฮั้นเจงหลีจึงเรียกลื่อท่งปินมาบอกว่า วันนี้เป็นวันถึงกำหนดที่เราจะขึ้นเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้บนสวรรค์ และจะได้กราบทูล ขอให้จารึกชื่อเจ้าไว้ในทะเบียนชื่อของเซียน เมื่อเข้าคณะแล้ว ก็จะได้อยู่ร่วมกัน เมื่อเราไปแล้ว เจ้าจงเดินทางท่องเที่ยวไปช่วยอนุเคราะห์คนทั้งหลายเถิด เพื่อจักได้สร้างสมบารมีให้ยิ่งขึ้น ว่าแล้วก็หยิบเอาเซียนตัน (คือยาทิพย์) ยื่นส่งให้ ลื่อท่งปินกราบอาจารย์สามครั้ง แล้วรับเอายามาเก็บไว้ขณะนั้นพอดีมีเซียนสวรรค์องค์หนึ่งมาแจ้งแก่ฮั้นเจงหลีว่า มีเทวโองการให้ขึ้นไปเฝ้าบัดนี้ เพื่อรับมณีบัตรแต่งตั้งเป็นเซียนสวรรค์ ฮั้นเจงหลีจึงสั่งลื่อท่งปินอีกว่า ต่อแต่นี้ไปอีกสิบปี เจ้าจงไปรอพบเราที่ทะเลสาบท่งเถง ว่าแล้วก็ขึ้นเหยียบเมฆไปพร้อมกับเซียนสวรรค์องค์นั้น ฝ่ายลื่อท่งปินครั้นฮั้นเจงหลีผู้อาจารย์ไปแล้ว ก็ยังยับยั้งบำเพ็ญฌานอยู่ในสำนักอีกหลายเวลา ก็ออกเดินทางช่วยเหลืออนุเคราะห์ผู้คนที่ได้ทุกข์ไปเรื่อย ๆ จนถึงเมืองลกเอี๋ยง อันเป็นเมืองหลวงเก่า ได้แวะเข้าพักในศาลเจ้าแห่งหนึ่งในเมืองนั้น วันหนึ่งได้เดินเที่ยวชมบ้านเมืองไปตามถนนหลวง เห็นหญิงสาวคนหนึ่งอายุในราวสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปงามแช่มช้อยเป็นที่เจริญตา กิริยาย่างเดินเป็นที่ยั่วยวนใจ ก็ให้เกิดความกำหนัดกระสันต์ยิ่งนัก จึงคิดว่า นับแต่เราเกิดมาจนบัดนี้และได้ท่องเที่ยวมาหลายบ้านหลายเมือง ได้พบปะหญิงทั้งสาวและไม่สาวนับแทบไม่ถ้วน ก็ไม่เห็นหญิงคนใด ที่จะมีรูปงามแช่มช้อย น่ารักน่าร่วมภิรมย์ดังหญิงสาวคนนี้เลย นางมีชื่อว่าอะไรเป็นลูกเต้าเหล่าใครยังอยู่ตัวคนเดียว หรือจะมีเหย้าเรือนแล้วหรืออย่างไร จำจะต้องสืบถามดูให้รู้เรื่องจงได้ คิดแล้วก็เที่ยวเดินไต่ถามเรียบเคียงชาวบ้านแถวนั้น ก็ได้ความว่า หญิงนั้นชื่อนางโบตั๋น เป็นหญิงหากินทางบำเรอชาย ลื่อท่งปินได้ฟังดังนั้น ก็มีความยินดีเพราะเป็นหญิงส่วนกลาง มิใช่ลูกเมียของใคร ตัวเราเองก็ยังไม่เคยสัมผัสรูปเสียงกลิ่นรส อันจะชวนให้เป็นที่ต้องใจสมความปรารถนาเลย เมื่อได้มาพบของงามต้องใจอย่างนี้ จะละเลยย่อมไม่สมควร ทั้งเป็นความเขลาด้วยประการหนึ่ง จำจะต้องทดลองว่า รสชาติจะวิเศษเลิศเลอสักเพียงไร คนทั้งหลายจึงได้พากันหลงไหลกันเป็นนักหนา แต่เราอายุก็มากแล้ว รูปร่างก็เข้าลักษณะเฒ่าชะแรแก่ชรา อย่างกระนั้นเลย จำจะต้องแปลงรูปเสียใหม่ให้งามเหมาะสมกัน จึงจะถูกกับแบบแผนทางประเวณีโลก คิดดังนั้นแล้วก็หยิบเอาก้อนดินมาเสกเป็นทองคำแท่ง เสกกั้นหยั่นให้เป็นเด็กรับใช้ ส่วนตัวเองกลายรูปเป็นหนุ่มน้อยร่างสำอางค์แต่งตัวทะมัดทะแมงรัดกุม หญิงใดเห็นก็ให้พิศมัย เสร็จแล้วก็เดินตรงไปยังบ้านที่หญิงสาวนั้นอาศัยอยู่ ลื่อท่งปินหยุดยืนดูทำเลที่ทาง พอเห็นสบโอกาสก็เดินเข้าไปภายใน ฝ่ายนางโบตั๋นครั้นมาถึงบ้านพักผ่อนพอสมควรแล้ว ก็เข้าห้องสำอางค์ เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่แล้วเดินออกมาข้างนอก เห็นหนุ่มน้อยรูปงามต้องตาผู้หนึ่งกับเด็กคนใช้ยืนรออยู่ นางก็ยิ้มให้อย่างหวานชื่น เป็นที่จับใจลื่อท่งปินยิ่งนัก นางได้ถามชื่อเสียงหนุ่มจำแลงก็เสบอกว่า ตัวพี่นี่ชื่อท่งต๋าว มาเพื่อจะขอพักกับนางพอเป็นที่สบายใจแล้วก็จะลาไป ว่าแล้วก็หยิบทองคำลิ่มส่งให้ นางก็ยิ้มรับทองไปเก็บไว้แล้วก็จัดแต่งโต๊ะสุราอาหารอย่างรสเลิศ เข้านั่งร่วมโต๊ะสนทนาคลอเคลียไปพลางเสพสุราอาหารไปพลางจนต่างก็เกิดความกำหนัดกระสันต์ และเป็นเวลาค่ำมืดพอสมควร ต่างก็เข้าร่วมห้องเสพกามสุขตามวิสัยโลกีย์ ฝ่ายชายแปลงท่งต๋าวนั้น เป็นผู้สำเร็จโลกีย์ฌานชั้นเลิศ รู้วิชากามศาสตร์ ระงับมิให้หลั่งไหลออกมา จึงเสพกามร่วมประเวณีโดยมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย จึงมีความชื่นบานปรีด์เปรมด้วยกันทั้งสองฝ่าย ท่งต๋าวได้พักสมสู่อยู่กับนางงามโบตั๋นอย่างอิ่มเอมจนล่วงหลายราตรี ทำให้นางงามชื่นชมหลงไหลในเล่ห์กามกรีฑา ถึงกับออกปากว่า วิธีบำเรอกามของท่านวิเศษนัก แต่ขณะนี้ขอให้ข้าพเจ้าได้พักผ่อน ให้พอหายเหน็ดเหนื่อยสักยามหนึ่งก่อน แล้วก็จะรับใช้ท่านต่อไปด้วยความเต็มใจ ท่งต๋าวแปลงได้ฟังก็ยิ้มหัวพลางรำพึงว่า บัดนี้ เราก็ให้ทดลองในรูปรสกลิ่นเสียงและสัมผัสมาเป็นเวลาพอสมควรแล้วควรยุติได้ ทั้งเรื่องนี้ถ้าล่วงรู้ไปถึงอาจารย์แล้ว ก็จะตำหนิติเตียนเป็นอย่างมากทีเดียว คิดแล้วจึงพูดว่า การที่เจ้าขอพักผ่อนนั้นก็ควรแล้ว ตัวเราก็จะขอลาเจ้าไปเหมือนกัน เพราะกิจธุระสำคัญยังมีอยู่ เมื่อนางได้ฟังดังนั้น ก็ร้องไห้ด้วยความอาลัยรัก ท่งต๋าวเช็ดน้ำตาให้แล้ว ใช่เราจะลาเจ้าไปเลยก็หาไม่ ในไม่ช้าก็จะกลับมาอยู่ครองกันอีก พลางพูดปลอบสั่งเสียจนนางหลับ จึงได้ออกจากห้องพร้อมด้วยเด็กคนใช้ พอพ้นเขตบ้านลับตาคน ก็กลับคืนร่างเป็นลื่อท่งปินตามเดิม ฝ่ายฮั้นเจงหลีอยู่ ณ สำนักเฮาะฮง ให้มีใจระลึกถึงศิษย์ ก็เพ่งพิจารณาดูก็รู้โดยตลอดว่า ศิษย์ของตนได้ประพฤติซุกซน ทดลองในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสกับสาวงามโบตั๋น ซึ่งต่อไปก็จะได้สำเร็จเป็นเซียนเช่นเดียวกัน อย่ากระนั้นเลย จำเราจะไปรับลื่อท่งปินกลับมา คิดแล้วก็ออกจากสำนักตรงไปหาทิก๋วยลี้ แล้วเล่าถึงความประพฤติเป็นไปแห่งศิษย์ของตนให้ทิก๋วยลี้ฟัง และขอร้องให้ช่วยสั่งสอนลื่อท่งปินด้วยอุบาย ตามแต่จะเห็นว่าเหมาะแก่นิสัย ทิก๋วยลี้ได้ฟังก็หัวเราะชอบใจ สั่งให้ศิษย์ไปเชิญนางฮ่อเซียนโกวมา ฮั้นเจงหลีสงสัยจึงว่า ซือเฮียท่านมีอุบายประการใดหรือ จึงให้ฮ่อเซียนม่วยมาช่วย ทิก๋วยลี้จึงแจ้งอุบายให้ทราบทุกประการ ฮั้นเจงหลีมีความยินดีเป็นที่ยิ่ง จึงว่าความคิดของซือเฮียนี้แยบยลลึกซึ้งนัก จึงคำนับลากลับไป พอนางฮ่อเซียนโกวมาถึง ทิก๋วยลี้ก็แจ้งธุระที่จะทำให้ฟังโดยตลอด นางฮ่อเซียนโกวจึงว่า ถ้าเช่นนั้นก็อย่ารอช้าจงรีบไปกันเถอะ ครั้นแล้วเซียนทั้งสองก็เหยียบเมฆเหาะลอยมายังเมืองลกเอี๋ยง ลงในที่ลับตาแห่งหนึ่งแล้ว ก็แปลงเป็นคนขอทานชราชายหญิงสองคนพร้อมด้วยเครื่องมือทำเพลง คือฉาบและกลอง เที่ยวเดินเร่ร้องรำทำเพลง ขอทานไปทุกบ้านช่อง จนถึงหน้าบ้านของนางโบตั๋น ก็ลงนั่ง แล้วก็บรรเลงเรื่องเซียนขี้เมาสมสู่กับนางสาวงาม เสียงทำนองที่ร้องประสานกับจังหวะเสียงฉาบและกลองที่ตีเคาะรับกันนั้น ทำให้นางโบตั๋นซึ่งอยู่ในบ้านฟังเพราะจับใจ อดอยู่ไม่ได้จึงออกไปดู เห็นเฒ่าชราตายายสองคน ผมเผ้ารุงรังเสื้อกางเกงขาดปุปะแต่น้ำเสียงที่ร้องขับตลอดจนท่าทีย่างรำช่างน่าดู และไพเราะนัก จึงยืนตั้งใจฟังจนจบ แล้วเรียกเข้าไปในบ้านจัดข้าวปลาอาหารให้กิน แล้วให้เสื้อผ้าคนละสำรับ เซียนแปลงรับของแล้ว ก็แสร้งทำเป็นยืนมองเพ่งพินิจพิจารณาอย่างไม่วางตา จนนางนึกกระดากใจจึงร้องว่า อะไรกันตาจ้องดูเราทำไมอย่างนั้น ตาเฒ่าเซียนแปลงก็หัวเราะแล้วว่า เราเห็นนางรูปร่างกิริยางามเลิศ แต่ใจยังมีความวิตกบางอย่าง จึงพิจารณาดูอยู่อย่างนี้ นางจึงว่า ตารู้ว่าเรามีความวิตกเรื่องอะไรหรือ เซียนแปลงจึงว่า ตาพอจะรู้เพราะได้เรียนมาบ้าง นางจึงว่า ถ้าเช่นนั้นไหนลองบอกให้เราแจ้งหน่อยซิ เซียนเฒ่าแปลงจึงหันไปพยักหน้าให้ยายเซียนอธิบายแทน ยายเซียนจึงว่า ขอให้เราเข้าไปในบ้าน จึงอธิบายให้ฟังได้ นางโบตั๋นก็จูงมือยายเซียนเข้าไปข้างใน ยายเซียนจึงว่า การที่นางร่วมหลับนอนกับเจ้าหนุ่มน้อยนั้น ไม่มีหญิงใดหาญสู้ เพราะเจ้าหนุ่มรูปงามนั้นมีวิชากามโลกีย์ สามารถยับยั้งน้ำกามมิให้หลั่งไหลได้ และจะกระทำการได้ทุกเวลา แล้วแต่เจ้าตัวจะต้องการเมื่อใด แม้หญิงใดมิรู้เข้าบำรุงบำเรอ มิช้าก็จะเหี่ยวแห้งวอดวายไปด้วยกามกิจนั้นเป็นแน่ นางโบตั๋นได้ฟังดังนั้น ก็ตกใจหวั่นเกรงยิ่งนัก จึงได้เล่าความจริงให้ฟังโดยตลอด แล้ววิงวอนขอให้ช่วยเหลือ ยายเซียนก็กระซิบบอกอุบายวิธีให้แล้วก็ออกมาจากห้อง นางตามออกมา กระทำคำนับขอบคุณแล้วถามว่า ท่านผู้เฒ่าทั้งสองมีแซ่และชื่ออย่างไร กรุณาให้ข้าพเจ้าได้ทราบบ้างเพื่อระลึกถึงบุญคุณ แต่พอพูดสิ้นคำ ร่างตาเฒ่าและยายเฒ่าก็หายวับไป นางยืนตะลึงด้วยความตกใจอัศจรรย์ คิดแน่ใจว่า ผู้เฒ่าทั้งสองนั้นคงเป็นเซียนผู้สำเร็จปลอมแปลงมาช่วยเหลือเราเป็นแน่แท้ จึงจัดโต๊ะเครื่องบูชาขอให้ช่วยปกป้องคุ้มภัย ฝ่ายลื่อท่งปิน ครั้นท่องเที่ยวเยี่ยมเยียนญาติมิตรสหาย จนกระทั่งเข้าฤดูหนาว หิมะตกเต็มไปทั่วพื้นแผ่นดิน ก็ระลึกถึงคำสั่งของอาจารย์ ที่ให้ไปรอพบที่ทะเลสาบท่งเถง จึงได้ออกเดินทางมุ่งตรงไป พอมาถึงทางแยกจะเข้าเมืองลกเอี๋ยง ก็ให้หวนนึกถึงนางโบตั๋น ทั้งนี้เป็นด้วยฟ้าดินบันดาล โดยที่นางมีวาสนาบารมีจะได้สำเร็จเป็นเซียน ลื่อท่งปินเดินมุ่งตรงไปยังบ้านของนาง พอจวนถึงก็แปลงร่างเป็นหนุ่มน้อยท่งต๋าว และกั้นหยั่นก็กลายเป็นเด็กคนใช้ พากันเดินไปจนถึงหน้าบ้าน เห็นนางกำลังนั่งวาดภาพเล่นอยู่ จึงค่อย ๆ เดินเข้าไปยืนจนใกล้และถามสัพยอกว่า แม่ยอดรัก นางกำลังเขียนรูปอะไรหรือ ขอให้พี่ชมบ้างเป็นไร นางตกใจ เหลียวมาเห็นเป็นท่งต๋าวคู่สวาทเดิม ก็ดีใจยิ่งนัก ลุกขึ้นคำนับฉุดมือให้นั่งเก้าอี้ร่วมกัน นางสั่งให้สาวใช้ ยกสุราอาหารออกมากินกันไปพลาง พูดจาสัพยอกยั่วเย้าไปพลาง จนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ชวนกันเข้าห้อง ร่วมรสเสน่หาให้สมกับที่จากกันไปนานวัน ขณะที่ร่วมกามกิจ และท่งต๋าวกำลังเพลิดเพลิน มิได้ระแวงเฉลียวใจนั้น นางก็จี้เข้าที่รักแร้ท่งต๋าวแปลงสะดุ้งไม่ทันยั้ง กามอุทกก็หลั่งไหลออกมา ดุจน้ำในภาชนะที่เต็มเปี่ยม เมื่อถูกกระทบเขย่าเข้าโดยแรงก็หกตะแคงล้นไหลออกไปฉะนั้น ครั้นเสร็จกามกิจอันเกินวิสัยเป็นพิเศษเช่นนั้น ท่งต๋าวก็นิ่งนึกพิจารณาไปทั่วสรรพางค์กายของนาง ซึ่งขณะนั้นกำลังนอนทอดกายอ่อนระทวย เพราะเหตุที่ได้รับรสแรงแห่งกามอุทกอันบริสุทธิ์จนเยือกเย็นเสียวสะท้านไปทั้งภายนอกภายในกาย ท่งต๋าวจึงถามว่า เจ้าไปรู้วิธีอย่างนี้มาจากผู้ใด นางก็ได้เล่าความจริงให้ฟังสิ้น มิได้ปิดบังอำพราง ท่งต๋าวได้ถามอีกว่าแล้วผู้เฒ่าทั้งสองนั้นได้บอกชื่อเสียงแก่เจ้าหรือเปล่า ว่าชื่อแซ่ใด นางก็ได้ถามแล้ว แต่ก็มิได้บอกประการใด พอข้าพเจ้าถามสิ้นคำทั้งสองก็หายไป ข้าพเจ้าคิดแน่ใจว่าคงเป็นผู้วิเศษ ท่งต๋าวจึงว่า ที่แท้นั้นผู้เฒ่าทั้งสองก็คือทิก๋วยลี้และนางฮ่อเซียนโกว ส่วนตัวเรานี้คือลื่อท่งปินนักพรตต๋าวสูงอายุ นั่งอยู่บนเตียง เด็กคนใช้ที่อยู่ข้างนอกวิ่งเข้ามา ก็กลายเป็นกั้นหยั่นลอยเข้ามาอยู่ในมือ นางโบตั๋นเห็นดังนั้น ก็มิได้สะดุ้งตกใจกลัวแต่อย่างใด เพราะรู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว จึงรีบลุกลงจากเตียง คุกเข่าลงกับพื้นกราบด้วยความเคารพสามครั้ง แล้ววิงวอนว่า ขอท่านจงได้เมตตาช่วยให้ข้าพเจ้าผู้คับแค้น ได้พ้นจากอำนาจโลกีย์ด้วยเถิด ลื่อท่งปินจึงว่า เจ้าอย่าวิตกเลย เพราะเจ้าเป็นมนุษย์พิเศษ จะสำเร็จเป็นเซียน เพราะเหตุที่ได้รับกามอุทกของเราเข้าสู่ร่างกาย เจ้าจะมีอายุยืนนานไม่แก่เฒ่า ฉะนั้นตั้งแต่บัดนี้ไป จงถือศีลเว้นอาหารสดคาวและหมั่นเจริญบำเพ็ญภาวนา ในไม่ช้าจะได้สำเร็จ ได้ไปอยู่ ณ สำนักของนางฮ่อเซียนโกว พูดแล้วก็ส่งยาเซียนตันให้เม็ดหนึ่ง พอนางรับมา ลื่อท่งปินก็หายวับไป นางโบตั๋นก็จัดตั้งโต๊ะบูชากราบไหว้ แล้วกินยานั้น และเลิกการหากินทางบำเรอชาย เข้าถือศีลกินเจตั้งแต่บัดนั้นมา ลื่อท่งปิน ครั้นออกจากบ้านนางโบตั๋นแล้วก็เดินทางมุ่งไปยังอำเภองักเอี๋ยง ถึงแล้วก็ตรงไปยังร้านขายเหล้าของยายแก่ ที่ตนได้ช่วยทำน้ำในบ่อให้เป็นเหล้า แต่ขณะนั้นยายแก่นั้นไม่อยู่ ลื่อท่งปินจึงถามว่า ร้านนี้ของใคร ฝ่ายลูกชายยายแก่พิเคราะห์ดู ก็ระลึกได้ว่า คงเป็นคนที่มาขายน้ำมันให้กับแม่ แล้วบันดาลให้น้ำในบ่อเป็นเหล้า จึงได้เล่าเรื่องเดิมให้ลื่อท่งปินฟัง แล้วบอกว่า ขณะนี้แม่ไม่อยู่ ไปธุระกว่าจะกลับก็ตกเย็น ลื่อท่งปินหัวเราะพลางถามว่า เป็นอย่างไรเหล้าขายดีไหม ลูกชายยายแก่เจ้าของร้านก็บอกว่า เหล้านะขายดี แต่ไม่มีส่าสำหรับจะให้หมูกินเลย ลื่อท่งปินได้ฟังดังนั้นก็จ้องดูหน้า แล้วกล่าวโศลกเชิงตำหนิว่า มนุษย์นี้แสนโลภ ช่างละโมบไม่รู้พอ ตั้งหน้าแต่จะขอ ใจเองหนอต่ำสิ้นดี น้ำสุราข้าทำให้ ขายจนได้ทรัพย์มั่งมี ยังขอส่าอีกที ทำเช่นนี้เห็นแก่ตัว ฯ ว่าแล้วก็เสกคาถาเป่าไปที่บ่อ เรียกเมล็ดข้าวลอยเข้าย่าม แล้วเดินกลับออกไป ครั้นยายแก่กลับมา ลูกชายก็เล่าเรื่องให้ฟัง แล้วพากันไปดูเหล้าในบ่อ ซึ่งบัดนี้ได้กลับเป็นน้ำไปตามเดิม ไม่มีกลิ่นเหล้าอย่างเช่นเคย ยายแก่ทั้งตกใจและเสียใจเป็นอันมาก ครั้นจะออกไปตาม ก็ไม่รู้ว่าไปแห่งใด แม่ลูกต่างเสียใจติโทษกันและกัน ฝ่ายลื่อท่งปิน ครั้นออกจากร้านยายแก่แล้ว ก็ตรงมายังร้านของนางซินสี นางซินสีแลเห็นก็ดีใจรีบออกมาต้อนรับ เชิญให้นั่งโต๊ะแล้วจัดสุราอาหารอย่างดีมาเลี้ยง ลื่อท่งปินเสพสุรากินอาหารไปพลาง เหลียวดูทางโน้นทางนี้ ชมร้านที่ได้ตกแต่งไว้อย่างน่าดูไปพลาง แล้วถามว่านกกะเรียนของข้าพเจ้า ได้ออกมาร้องรำทำเพลงให้พวกที่มากินเหล้าดูหรือเปล่า และการค้าขายของท่านเป็นอย่างไร นางซินสีก็ว่า ตั้งแต่วันที่ท่านได้เขียนรูปนกกะเรียนให้จนบัดนี้ การซื้อขายของข้าพเจ้า ก็เจริญขึ้นเรื่อยมาจนมั่งคั่งสมบูรณ์ ก็ได้อาศัยท่านที่เมตตา ระลึกถึงคุณท่านหาที่สุดมิได้ ลื่อท่งปินหัวเราะแล้วว่า นกกะเรียนได้ทำงานใช้หนี้แทนข้าพเจ้าแล้ว จำจะต้องขอลาเอากลับไป ว่าแล้วก็กวักเรียกนกกะเรียนออกจากฝาผนังแล้วขึ้นนั่งบนหลังบินออกจากร้านไป นางซินสีและคนทั้งปวงในร้านต่างได้เห็นเป็นอัศจรรย์ เพราะตั้งแต่เกิดมาก็มิได้เคยเห็นอย่างนี้ จึงต่างก็จัดหาดอกไม้ธูปเทียนตั้งโต๊ะบูชากราบไว้ แล้ววาดรูปลื่อท่งปินขี่นกกะเรียนไว้บูชาทุกบ้านตั้งแต่วันนั้นมา ในเรื่องนี้ นักจินตกวีคนหนึ่งชื่อ ซุยเหาสมัยแผ่นดินถัง ได้แต่งคำฉันท์ชื่อชิดลุดพรรณาชมศาลานกกะเรียนที่ตำบลเองบู๊เขตเมืองฮั้นเอี๋ยงไว้อย่างไพเราะน่าฟังดังนี้ เซียนประทับกะเรียนสิดูปลาด แลผะงาดละลิ่วไป พินิจสิเจริญ ณ หฤทัย คะนึงอยู่มิรู้หาย ศาลาจึ่งตรากะละชื่อ จิระถือมิเสื่อมคาย ว่าศาลากะเรียนวิจิตะพราย พิไลเลิศบรรเจิดตา พระพรายก็รวยระบัดรื่น หฤชื่นและหรรษา เพ่งดู ณ เบื้องอุระนภา ก็เห็นเมฆละลิ่วลอย สระกว้างก็เปี่ยมละออชล มัจฉะพ่นเป็นฟองฝอย ต้องแสงประหนึ่งระตะนะพลอย ที่โรยร่วง ณ พื้นธาร แลเห็นชลระริกกระเพื่อม ละลอกเลื่มละแลลาน ฮั้นเอี๋ยงโรจะนะโอฬาร นครเอี่ยม ณ ฝั่งชล เองบู๊ ถิ่นปทุมะเรศ หอมวิเศษสุคนธ์ดล กล่อมจิตประหนึ่งสิต้องมนต์ สะกดไว้ ณ ยามเย็น บ่มิรู้สะถานสถิตย์ถิ่น ธะเซียนบินบ่แลเห็น บ่มิรู้มิชัดหฤเจน ว่าสถิตย์สะถานใด ได้แต่คะนึงมะนะสะตรึก ระลึกแนบฤทัยใน จวบชีพชีวะปะลัย บ่มิรู้มิลืมเลยฯ ฝ่ายลื่อท่งปิน ครั้นมาถึงทะเลสาบท่งเถง แลลงมาจากอากาศ ก็เห็นอาจารย์แลเซียนผู้ใหญ่ทั้งหลาย กำลังนั่งเล่นหมากรุกกันอยู่ที่ศาลาริมฝั่ง จึงบังคับนกให้ร่อนลงยังพื้นดิน แล้วนกก็หายไป ลื่อท่งปินเข้าไปกราบอาจารย์ และกระทำคำนับเซียนทั้งปวง ฮั้นเจงหลีเห็นศิษย์มาตามเวลาที่กำหนดก็มีความยินดี กล่าวกับเพื่อนเซียนทั้งหลายว่า การเล่นหมากรุกวันนี้รู้สึกออกรสสนุก แต่จำเป็นจะต้องยุติ เพราะข้าพเจ้ามีกิจ ที่จะต้องนำศิษย์ผู้นี้ไปหาท่านลีเล่ากุน เซียนผู้หนึ่งจึงว่ การที่พวกเรามาประชุมเล่นหมากรุกอยู่ที่นี่ ก็เพื่อได้สนทนาให้เป็นที่เบิกบานใจประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งก็เพื่อคอยศิษย์ของท่านตามที่ท่านได้เล่าให้ฟัง และบัดนี้ศิษย์ของท่านก็ได้มาถึงแล้ว การเล่นของเราก็ไม่เป็นการจำเป็นอย่างไร ควรที่พวกเราจะพากันไปหาท่านลีเล่ากุนด้วยกัน เมื่อเห็นพร้อมกันดังนั้นแล้ว ต่างก็พากันเหาะไปยังเขาเล่งห่วยหวย ฝ่ายลีเล่ากุนและอวนคูเซียน นั่งเจริญสมาธิภาวนาอยู่ในถ้ำ เห็นแสงรัศมีต่าง ๆ ส่องลอดเข้ามาภายในสว่างดุจกลางวัน ก็รู้ว่าคณะเซียนกำลังจะมาชุมนุม ณ ที่นี้จึงให้อวนคูเซียนออกไปต้อนรับ อวนคูเซียนออกไปถึงประตูถ้ำ ก็เห็นเซียนทั้งหลายยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว ต่างก็คำนับกันและกัน แล้วต่างก็พากันเข้าไปภายในถ้ำ กราบท่านลีเล่ากุนแล้วนั่ง ณ อาสนะที่จัดไว้ ส่วนลื่อท่งปินนั้นยังคงยืนอยู่ โดยมิได้รับบัญชาให้ปฏิบัติอย่างใด เมื่อทุกคนได้นั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลีเล่ากุนจึงพูดว่า การที่ตังฮั่วจินหยินไปเกิดในมนุษย์โลกเป็นลื่อท่งปินนั้น ก็ด้วยเหตุที่ยังบำเพ็ญฌานยังไม่ถึงชั้นสูงสุด บัดนี้ ลื่อท่งปินได้มีความอุตสาหะบำเพ็ญเพียรบรรลุญาณอันสูงสุดแล้ว จึงเห็นสมควรให้ลื่อท่งปิน อยู่ในลำดับเซียนที่สามแห่งคณะโป๊ยเซียน ลื่อท่งปินก็คุกเข่าลง กราบสามครั้งด้วยความเคารพอย่างสูง แล้วเข้านั่ง ณ อาสนะในตำแหน่งเซียนลำดับที่สาม เซียนทั้งหลายต่างก็มีความยินดียิ่งนัก ต่างก็กระทำการสักการะลีเล่ากุน แล้วก็คำนับลาอวนคูเซียนออกจากถ้ำแก้วมณีกลับยังสำนักแห่งตน ๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น