วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

清水祖師 (ตัน ผ่อ เจ่ว) หรือ พระหมอ



清水祖師 (ตัน ผ่อ เจ่ว) หรือ พระหมอ


พระเฉ้งจุ้ยจ้อซู้ก๋ง เดิมชื่อ ผูชวี (ตัน ผ่อ เจ่ว) เป็นคนตระกูล ( 陈 ) แซ่เฉิน( แซ่ตัน ) ท่านถือกำเนิดที่เชิงเขากู่ซาน หมู่บ้านเสี่ยวก้อ ตำบลหยงชุน คืออำเภอหยงชุน จังหวัดเฉวียนโจว มณฑลฝูเจี้ยน เมื่อวันที่ ๖ ค่ำ เดือน ๑ ตามปฏิทินจีน แต่ปี พ.ศ. กำเนิดต่างมีความคิดเห็นแตกต่างกัน คือ พ.ศ. ๑๕๕๔ - พ.ศ.๑๕๘๗ และ พ.ศ. ๑๕๙๐ แต่ในที่นี้ใช้ พ.ศ. ๑๕๘๗ เป็นหลัก (ตามที่นายจี้หยวน นักวิจัยมหาวิทยาลัยแห่งชาติเฉิงชี ไทเป ไต้หวัน ซึ่งเขาได้อ้างอิงจากบทความของ หลิน ซีสุ้ย จากวารสารภาคผนวกของวารสารอายุ่ย พิมพ์ที่ไทเปโดย( สมาคมอันซีแห่งไทเปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ ) ตรงกับรัชสมัยฮ่องเต้ซ่งเหรินจง ( จ้าวเจิน ) ใช้ปีรัชกาลว่าชิงหลี่ เป็นปีที่ ๗ แห่งราชวงศ์ซ่งเหนือ ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๕๖๖ – ๑๖๐๖ มีเมืองไคฟงเป็นเมืองหลวง นามบิดามารดามิได้ปรากฏ จากตำนานกล่าวว่า ท่านผูชวีได้ช่วยบิดามารดาเลี้ยงแพะแถบเชิงเขากู่ซาน แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านแตกต่างจากชาวจีนฮั่นทั่วไปก็คือ ท่านมีผิวดำ ตัวดำ หน้าดำ จมูกโด่งและงองุ้ม ซึ่งอาจจะสืบเชื้อสายมาจากชาวอินเดียแขกทมิฬทางภาคใต้ ที่เดินทางมาค้าสำเภากับพวกอาหรับที่มาจอดแวะท่าเรือเมืองเฉวียนโจว อีกประการหนึ่งพื้นเพเดิมของชาวเมืองแถบนี้ก่อนที่ชาวจีนฮั่นจะอพยพลงมา มีพวกชนพื้นเมืองอาศัยอยู่ก่อนแล้ว ชนพวกนี้กล่าวกันว่า อพยพขึ้นไปจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่านผูชวี มีปัญญาเฉลียวฉลาดตั้งแต่สมัยเด็ก นิสัยชอบศึกษาหาความรู้ทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น เช่นเดียวกับเด็กวัยรุ่นทั่วไปแต่ที่แตกต่างจากเด็กทั่วไปก็คือ ท่านชอบศึกษาคำสอนในพระพุทธศาสนาตั้งแต่ยังเยาว์ ท่านศึกษาได้ลึกซึ้งและแตกฉาน ในฐานะที่เป็นคนอาศัยอยู่แถบเชิงเขาที่มีพืชนานาชนิด ท่านจึงได้ศึกษาเรื่องพืชสมุนไพร ไปด้วยจนสามารถนำมาประกอบเป็นยารักษาคนไข้ได้นเชี่ยวชาญและเป็นแพทย์ประจำตำบลอีกด้วย ต่อมาท่านได้ถือเพศบรรพชิตในพระพุทธศาสนานิกายมหายานท่านบวชวัดไหนไม่ปรากฏ แต่ต่อมาท่านได้มาพำนักที่วัดหมู่บ้านเผิงไหล อำเภออันซี แขวงเฉวียนโจว ตอนบวชน่าจะได้ฉายาว่า เหอซั่ง ผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี ได้อบรมสั่งสอนธรรมะแก่ชาวบ้าน ทั้งที่หมู่บ้านเผิงไหลและตำบลใกล้เคียง และยังได้ช่วยเหลือเครื่องอุปโภคบริโภคและเงินทองแก่ผู้ยากไร้ ด้วยความรู้แพทย์แผนจีนอย่างดี พระโจวสุ่กงจึงช่วยรักษาผู้ป่วยในหมู่บ้าน นอกจากกิจกรรมดังกล่าวแล้วยังได้พัฒนาหมู่บ้านด้วยการออกทุนทรัพย์ร่วมกับชาวบ้านก่อสร้างสะพาน ถนนหนทางหลายแห่ง ก่อสร้างอาคารเพื่อประกอบพิธีขอฝนประจำหมู่บ้าน แต่การศึกษาทางธรรมะของท่านก็เป็นไปด้วยดี จนท่านมีภูมิธรรมสูงได้ชื่อว่า พระผู้มีน้ำใจใสสะอาดบริสุทธิ์ คือ เฉ่งจุ้ยโจวซือ หรือ ชิงสุ่ยชวีซือ ซึ่งหมายถึงพระผู้สำเร็จธรรมชั้นสูงเทียบได้กับพระอรหันต์ ณ ที่ตำบลเผิงไหล มีหน้าผาระหว่างภูเขาเผิงไหลซานกับภูเขาหลิงสิ่วซาน หน้าผาแห่งนี้เดิมชาวบ้านเรียกว่า หน้าผาจางเอี๋ยน ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นหน้าผาชิงสุ่ย หรือ เฉ่งจุ้ย เพื่อเป็นเกียรติแก่ พระเฉ่งจุ้ยโจวซือ ในปี พ.ศ. ๑๖๒๖ ตรงกับรัชสมัยฮ่องเต้ซ่งเสินจง ( จ้าวชวี ) แห่งราชวงศ์ซ่งเหนือ ใช้ปีรัชกาลว่า หยวนเฟิงที่ ๖ ได้เริ่มก่อสร้างวัดบนหน้าผาเฉ่งจุ้ย และให้ชื่อว่า วัดเฉ่งจุ้ยโจวซือ หรือ ชิงสุ่ยเอี๋ยน หรือ วัดเผิงไหล ขณะที่พระเฉ่งจุ้ยโจวซืออายุได้ ๓๙ ปี ตัวอาคารของวัดคงจะได้พัฒนาก่อสร้างเพิ่มเติมเรื่อยมา สระน้ำฝางเจียนทรงสี่เหลี่ยม อยู่ด้านหน้า กล่าวกันว่าในช่วงที่พระเฉ้งจุ้ยจ้อซู้ก๋งกำลังก่อสร้างวัดอยู่นั้น ท่านได้เดินทางเข้าไปในตัวเมืองอันซีเพื่อซื้อต้นไม้สนจีนที่ต้นตรงไม่คด ผู้ขายเจ้าของไม้มีต้นไม้แบบดังกล่าวจำนวนไม่กี่ต้นและลำต้นยังเล็กอยู่ด้วย เขาจึงขายให้ท่านด้วยเงินเพียงเล็กน้อย และสัญญากับท่านให้ตัดไม้ภายในห้าวัน ท่านดีใจมากกลับวัดให้ขุดสระสี่เหลี่ยมแล้วเจาะรูเล็กๆตรงกลางสระ ฝ่ายชาวบ้านและพระลูกวัดทำตามที่ท่านสั่ง ไม่เข้าใจว่าท่านให้ทำเพื่ออะไร ครั้นภายหลังวันนั้นในเวลากลางคืน เกิดพายุทั้งลมทั้งฝนพัดจัดโค่นเอาต้นสนจีนที่ท่านต้องการล้มลง ท่านจึงให้ลากลงไปในโคลนแล้วหายไป พอถึงวันที่สาม ปรากฏว่าต้นสนดังกล่าวโผล่ขึ้นมาจากรูในสระที่ขุดไว้ ชาวบ้านและพระลูกวัดต่างช่วยกันลากไม้ขึ้นมารวมเก้าต้นซึ่งครบตามที่ต้องการ ขณะเมื่อต้นที่สิบกำลังโผล่ขึ้นมาพวกเขาต่างร้องว่า “พอแล้ว” ต้นสนต้นนั้นหยุดกึกปิดรูที่ขุดเสียจนปรากฏตออยู่จนบัดนี้พระเฉ่งจุ้ยโจวซือได้ปฏิบัติธรรมและบริการสังคมในละแวกนั้น จนอายุได้ ๖๕ ปี จึงมรณภาพ เมื่อ พ.ศ. ๑๖๕๒ ตรงกับรัชสมัยฮ่องเต้ฮุยจง ( จ้าวจี๋ ) แห่งราชวงศ์ซ่งเหนือ ศพได้ประกอบพิธีฝังไว้บริเวณหลังวัด ต่อมาได้มีการสร้างเจดีย์หน้าหลุมฝังศพซึ่งชาวบ้านเรียกว่า เจิ้นกง และได้นำคำนี้ไปเรียกขานต่อท้ายสมณนามของท่าน นอกจากนี้ยังได้สร้างแท่นบูชาไว้หน้าหลุมศพด้วย ต่อมาได้มีการสร้างรูปจำลองของท่านประดิษฐานไว้ที่แท่นบูชาในศาลาอาคารวัดเผิงไหล ในปี พ.ศ. ๑๗๐๗ ปีรัชกาลหลงซิงที่ ๒ ของฮ่องเต้ซ่งเซียวจง ( จ้าวเซิน ) แห่งราชวงศ์ซ่งใต้ ทรงครองราชสมบัติระหว่าง พ.ศ. ๑๗๐๕ – ๑๗๓๒ ณ เมืองหลิ่นอาน หรือ หางโจวในปัจจุบัน มณฑลเจ๋อเจียง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้แต่งตั้งสมณศักดิ์แก่ ชิงสุ่ยชวีซือ สูงขึ้น เป็น “จาวอิงไท่ซือ” และยังโปรดฯให้ก่อสร้างศาลเจ้าไว้หน้าสุสานด้วย วัดเฉ่งจุ้ยโจวซือในปัจจุบันดังได้กล่าวแล้วว่าวัดนี้มีอายุมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่งเหนือตั้งแต่ พ.ศ. ๑๖๒๖ เก้าร้อยปีเศษ เมื่อมองดูสภาพวัดในปัจจุบันที่ทางการจีนได้อนุรักษ์เอาใจใส่ บูรณปฏิสังขรณ์ตลอดมา ทำให้ผู้มีจิตศรัทธาและนักท่องเที่ยวต่างเดินทางไปสักการะเป็นอันมาก เพราะตัววัดตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันที่กลมกลืนกับธรรมชาติบริเวณภูเขาตัดกับขอบฟ้า ทำให้ตัวอาคารมองดูเด่นสง่า ที่ประกอบด้วยหลังคาลดหลั่นกันที่เรียกว่า ไห่เทียนกั๋ว ภายในอาคารแต่ละหลังมีห้องโถงต่างๆ เช่น ห้องประดิษฐานพระโจวสุ่กง พระกวนอิม ห้องรับรอง หอสวดมนต์ นั่งสมาธิ และห้องเล็กห้องน้อยกว่า ๙๙ ห้องบริเวณภายนอกตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้าซึ่งเพิ่งก่อสร้าง เป็นประตูสามช่องทางขนาดใหญ่ จนถึงหมู่อาคาร มีแง่หิน สระน้ำฝางเจียนทรงสี่เหลี่ยม อยู่ด้านหน้า กุ้ยเทียน ต้นการบูรขนาดใหญ่อายุหลายรอยปี ตรงกลางมีโพรงไม่มียอด สูงประมาณ ๑๐ เมตรกว้างประมาณ ๖ เมตร ภายในโพรงกว้างประมาณ ๑.๘๖ เมตร พอที่คนหลายคนเข้าไปนั่งเหยียดขาได้สบาย เมื่อมองทะลุโพรงขึ้นไปบนท้องฟ้ายอดปลายโพรงเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ จะแตกกิ่งออกมาสองกิ่ง ชาวบ้านเรียกต้นนี้ว่า กุ้ยเทียน บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ อยู่ไม่ห่างจากสระฝางเจียน มีน้ำไหลตลอดปี น้ำรสชาติหวานชาวบ้านถือว่าเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์รักษาโรคได้เจดีย์เจิ้นกง เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อรำลึกถึงพระโจวสู่กงด้านหน้าหลุมศพท่าน ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. ๑๖๗๔ เป็นเจดีย์สูงสิบชั้น ตรงกับรัชสมัยฮ่องเต้ฮุยจง ( จ้าวจี๋ ) ภายหลังจากที่ท่านมรณภาพได้ ๒๐ ปี หลุนอิน หรือ ซือกุ้ย เป็นแท่นบูชา ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. ๑๘๖๐ ตรงกับรัชสมัยฮ่องเต้เหยินจง ในปีเจี้ยนอิ้วที่ ๔ แห่งราชวงศ์หยวน ต้นการบูรขนาดใหญ่ กล่าวกันว่า ท่านเป็นผู้ปลูกไว้ ปัจจุบันสูงประมาณ ๓๒ เมตร วัดโดยรอบได้ ๗ เมตรยอดต้นการบูรต้นนี้ปลายชี้ไปทางทิศเหนือตลอดเวลา ต้นโปรโดคาร์ปัส เป็นต้นไม้จีนชนิดพุ่มที่เป็นไม้หายาก ใบเล็กเรียวยาวใบแข็งมีลูก ปัจจุบันนิยมทำไม้แคระหรือไม้พุ่ม แต่ต้นนี้ปลูกไว้แต่สมัยพระโจวสุ่กง สูงประมาณ ๑๓ เมตร วัดโดยรอบได้ ๑.๓๕ เมตร กล่าวกันว่าปีหนึ่งสูงประมาณ ๓ ฉุ่นแต่เมื่อฟ้าร้องฟ้าแลบ จะลดลงเหลือ ๓ เซนติเมตรเท่านั้น คอสิงโต บริเวณหลังวัดเฉ่งจุ้ยโจวซือมีก้อนหินขนาดใหญ่คล้ายหัวสิงโต ใกล้ๆกันมีรูคล้ายปากสิงโตอ้าออกซึ่งสามารถที่จะให้คนสิบคนเข้าไปยืนได้ ลึกเข้าไปมีรูคล้ายลำคอสิงโตประมาณ ๒ เชียะ ในฤดูใบไม้ผลิต จะมีเสียงลมพัดผ่านออกมาคล้ายเสียงสิงโตคำราม กล่าวกันว่ารูถ้ำนี้สามารถเดินไปถึงเมืองเฉวียนโจวได้ในแถบมณฑลฝูเจี้ยนหรือ ฮกเกี้ยน กว่างตง กว่างซี ชาวจีนส่วนใหญ่จะเคารพนับถือเทพเจ้าอยู่ ๕ องค์ คือ๑. เป๋าเชิงต้าตี้ หรือ ซีจี้กง แถบเมืองไป่เจี่ยว ใกล้เซี่ยเหมิน๒. พระชิงสุ่ยชวีซือ หรือ เฉินผูชวี ที่วัดเฉ่งจุ้ยโจวซือ ตำบลเผิงไหล ที่อำเภออันซี๓. กัวเชิงหวัง หรือ กวงเจ๋อ จุนหวัง ที่เว่ยเจินเหมียวหรือกัวซานหรือเฟิงซานซือ ที่ซื่อซาน ต้นแม่น้ำแถบอันซี หยงชุนและหนานอัน๔. เจ้าแม่มาจู่ หรือ มาจอโป๋ จากเกาะเหมยโจว๕. ฉีเทียนต้าเฉิง หรือ วุนอู่กง หรือเฮ่งเจีย ที่ตำบลแถบภูเขาและภาคกลางของฝูเจี้ยน ในไต้หวันมีศาลเจ้าโจวสู่กงที่สำคัญคือ ศาลเจ้าชิงสุ้ยจูซือที่ว่านหัว ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๐ ถนนคางติง อำเภอว่านหัว ไทเป อีกแห่งที่ซานเซี่ย ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๒ เพื่อเป็นสิ่งยึดเหยี่ยวแก่ชาวอันซีที่อพยพมาอยู่เขตซานเซี่ยในไต้หวัน เมื่อถึงวันแซยิดของพระโจวสู่กง คือ วันที่ ๖ ค่ำ เดือน ๑ ตามปฏิทินจีน พวกชาวบ้าน ๗ แซ่สกุลจากสี่ตำบล คือ ซานเซี่ย อิงเก๋อ ตู้เฉิงและต้าซี ต่างมาร่วมจัดงานระลึกถึงท่าน ศาลเจ้าโจวสู่กงที่มาเลเซียตั้งอยู่บริเวณเกนติ้งไฮแลนด์ เรียกว่า วัดถ้ำชินสวี พระเฉ้งจุ้ยจ้อซู้ก๋ง กับ พระตักม้อโจวซือ บางท่านเข้าใจว่าเป็นองค์เดียวกัน เพราะพระโจวพระเฉ้งจุ้ยจ้อซู้ก๋ง บางคนเรียก ตัวจ้อ หรือ อิดจ้อ แปลว่า องค์แรก ซึ่งตรงกับการเรียกขาน พระตักม้อโจวซือ ที่เรียก อิดจ้อ ศาลเจ้าบางแห่งจึงนำเอาพระโจวสู่กงไปวางไว้เป็นตัวจ้อ องค์แรก แล้วต่อด้วยหยี่จ้อ องค์ที่สอง ซึ่งต้องเรียงไปจนถึงหลักจ้อคือ องค์ที่หกแต่จากการศึกษาชีวประวัติของทั้งสององค์ต่างมีที่มาไม่เหมือนกัน ชีวประวัติของพระโจวสู่กงท่านมีชื่อเดิม สถานที่ถือกำเนิดชัดเจน เพียงแต่มีผิวดำคล้ายพระตักม้อซึ่งเป็นชาวอินเดีย ซึ่งท่านเดินทางเรือจากอินเดียใต้ถึงกว่างโจว มณฑลกว่างตง เมื่อ พ.ศ. ๑๐๗๐ วันที่ ๒๑ ค่ำ เดือน ๙ ตามปฏิทินจีน เข้าเฝ้าฮ่องเต้เหลียงอู่ตี้ ( เซียวเอี่ยน ) แห่งราชวงศ์เหลียงที่เมืองนานกิง ซึ่งพระองค์ทรงนับถือพระพุทธศาสนา แต่จากการสนทนาธรรมกับพระองค์ ทรงไม่เข้าใจในบทสนทนาจึงไม่โปรดฯ พระตักม้อจึงเดินทางไปพำนักที่วัดเส้าหลิน เมืองลั่วหยาง นั่งสมาธิหันหน้าเข้าผนังหินถึงเก้าปีจึงได้สำเร็จมรรคผล แล้วจึงเผยแผ่ธรรมะไปทั่วประเทศ จีนถือว่าท่านเป็นพระมหาสมณะองค์แรกหรือสังฆปรินายกองค์แรก เรียกว่า อิดจ้อ หรือ อิดโจ้ว หรือ ตักม้อโจวซือ หรือ พระอิดโจ้วตักม้อไต้ซือ หรือ พระโพธิธรรมมหาครูบา ท่านจึงมิใช่โจวซือกง และเวลาของทั้งสององค์ก็ต่างกันกว่าห้าร้อยปีพระเฉ้งจุ้ยจ้อซู้ก๋ง จึงเป็นพระสงฆ์ทางพระพุทธศาสนาที่คนจีนถือเป็นเทพเจ้าและให้ความเคารพนับถือตลอดจน การขอยารักษาโรคภัยไข้เจ็บมาแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน เมื่อถึงวันแซยิด คือ วันที่ ๖ ค่ำ เดือน ๑ หรือบางแห่งถือเอาวันที่ ๖ ค่ำ เดือน ๖ ตามปฏิทินจีน ผู้ที่เคารพนับถือต่างไปสักการะกราบไหว้เป็นประจำทุกปี จบแล้วครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น